บทความที่ 12 สิทธิในเสรีภาพของคนต่างด้าว-เสรีภาพที่จะเข้าร่วมทางการเมืองไทย
สิทธิในการแสดงออกหรือการแสดงความคิดเห็น นั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อบุคคลถือกำเนิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมก่อเกิดสิทธิดังกล่าวนี้ตามมาด้วย โดยที่สิทธิดังกล่าวได้รับการยอมรับเป็นสิทธิมนุษยชนภายใต้ข้อ 19 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน บัญญัติว่า "ทุกคนจักมีสิทธิออกความเห็นโดยไม่ถูกแทรกแซง" และ "ทุกคนจักมีสิทธิในเสรีภาพการพูด สิทธินี้จักรวมไปถึงเสรีภาพในการแสวงหา ได้รับและส่งต่อข้อสนเทศและความคิดในทุกรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขต ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียนหรือการพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือผ่านสื่ออื่นใดที่เป็นทางเลือกของเขา"
เมื่อพิจารณาตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอันเป็นกฎหมายที่เป็นพันธะสัญญาที่รับรองสิทธิมนุษยชน ให้ได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามอย่างเป็นรูปธรรม จะพบว่าผู้ทรงสิทธิในการแสดงออกนี้ได้แก่ “มนุษย์ทุกคน” ไม่จำกัดเฉพาะแต่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
อันย่อมหมายความรวมถึงคนต่างด้าว ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ไม่มีสัญชาติของรัฐเจ้าของดินแดน มีความหมายรวมทั้ง (๑) คนที่มีสัญชาติของรัฐต่างประเทศ และ (๒) คนที่ไร้รัฐเจ้าของสัญชาติ โดยการไม่มีสัญชาติของรัฐอันเป็นเจ้าของดินแดนนี้มิได้ส่งผลให้ถูกจำกัดหรือลิดรอนสิทธิดังกล่าวอันเป็นสิทธิมนุษยชนไปแต่อย่างใด
โดยสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นสิทธิมนุษยชนนั้นก็ได้เป็นฐานให้เกิดเป็นสิทธิทางการเมืองอันเป็นสิทธิมนุษยชนอีกประการหนึ่ง โดยได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR)ได้กล่าวว่า “ สิทธิทางการเมือง คือ สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (self-determination) ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐโดยตรง หรือใช้สิทธิเลือกตั้งบุคคลเข้าไปเป็นตัวแทนโดยปราศจากการแทรกแซงจากบุคคลอื่น การเลือกตั้งจึงต้องเป็นไปตามวาระ มีการออกเสียงโดยทั่วไปอย่างเสมอภาค และเป็นการลงคะแนนลับเพื่อประกันการแสดงเจตนาเสรีของผู้เลือก”
จากคำนิยามข้างตนว่าด้วยสิทธิทางการเมือง นั้นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้ทรงสิทธิทางการเมืองดังกล่าวโดยมีสิทธิที่จะมีส่วนรวมในการบริหารรัฐหรือมีสิทธิที่จะเลือกตั้งบุคคลเข้าเป็นผู้แทนตนในการบริหารประเทศ โดยปราศจากการแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นจากรัฐเจ้าของดินแดนหรือจากรัฐอื่นใดในโลก เพราะสิทธิดังกล่าวนี้เป็นสิทธิในการแสดงเจตนาอย่างเสรีของมนุษย์
แต่สิทธิทางการเมืองนั้นเป็น “สิทธิกระทำการ” กล่าวคือบุคคลต้องใช้สิทธิของตนเข้าไปมีส่วนร่วม อันได้มีรับการรับรองในรูปของสิทธิพลเมือง ที่ผู้ทรงสิทธิดังกล่าวนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละรัฐ เพราะเป็นสิทธิที่จะกระทำการได้เฉพาะบุคคลผู้ถือสัญชาติกล่าวคือเป็นพลเมืองของรัฐนั้นๆเท่านั้น ที่จะสามารถใช้สิทธิในการตัดสินใจอันจะนำมาซึ่งการแสดงเจตจำนงที่จะก่อการเปลี่ยนแปลงหรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของแต่ละรัฐ
ทั้งเมื่อพิจารณาตามหลักผู้ทรงประโยชน์แห่งสิทธิ จะพบว่าสิทธิทางการเมืองเป็นเรื่องว่าด้วยการเมืองภายในรัฐ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ทรงสิทธิต้องเป็นพลเมืองหรือเป็นบุคคลผู้ถือสัญชาติของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงคนต่างด้าวที่มิได้ถือสัญชาติของรัฐ เพราะบุคคลที่จะมีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องทางการเมืองอันเป็นเรื่องภายในของแต่ละรัฐต้องเป็นบุคคลผู้มีความยึดโยงหรือมีจุดเกาะเกี่ยวกับรัฐเจ้าของดินแดนเท่านั้น เพราะสิทธิทางการเมืองนี้จะส่งผลประโยชน์ในการบริหารอันเป็นการพัฒนารัฐใดรัฐหนึ่งอันจะมีความผูกพันกับผู้มีสัญชาติของรัฐนั้นๆเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนต่างด้าวมิได้เป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิทางการเมืองของรัฐไทย
เขียนเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2557
เอกสารอ้างอิง
[2]ศิลป์ฟ้า ตันศราุธ,เสรีภาพในการแสดงออกhttp://www.thaimedialaw.org/index.php?option=com_flexicontent&view=items&cid=33&id=99&Itemid=9&lang=en สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2557
ไม่มีความเห็น