มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับสิทธิในความเป็นมนุษย์ มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิในการมีสุขภพที่ดี สิทธิในการได้รับการศึกษา เป็นต้น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้รับรองสิทธิดังกล่าวไว้โดยมีนานาประเทศให้การรับรองในปฏิญญาฉบับนี้รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ในสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยนั้นยังมีเหตุการณ์ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากปัญหาสถานะบุคคล เป็นคนต่างเชื้อชาติ หรือไม่มีสัญชาติไทยก็ตาม ดังที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้
กรณีศึกษาของน้องผักกาด ข้อเท็จจริงคือ น้องผักกาดเกิดที่โรงพยาบาลแม่สอดโดยไม่มีการแจ้งเกิดเนื่องจากน้องเกิดมาพิการจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ทางโรงพยาบาลคิดว่าน้องน่าจะไม่มีชีวิตรอดจึงไม่ได้แจ้งเกิดให้กับน้อง และมิได้รับการรับรองสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรของรัฐใดๆ บุพการีเป็นคนเมียนมาร์ น้องจึงเป็นบุคคลไร้สัญชาติ และไร้รัฐเนื่องจากไม่มีเอกสารแสดงตน(Undocumented person) ซึ่งการเป็นบุคคลไร้รัฐส่งผลให้น้องผักกาดไม่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพในกองทุนเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรีทั้งที่มีปัญหาสถานะบุคคล
จากข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า น้องผักกาดเกิดที่ประเทศไทยที่โรงพยาบาลแม่สอดน้องจึงมีสิทธิยื่นขอสัญชาติไทยได้ในอนาคต เป็นไปตามมาตรา 7 (2) พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2535 ที่กำหนดให้ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยย่อมได้สัญชาติไทย[1] และเป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลแม่สอดที่จะเป็นผู้แจ้งแก่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองให้บันทึกรับตัวเด็กไว้และต้องออกหนังสือรับรองการเกิดให้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ พ.ศ.2534 มาตรา19 ซึ่งวางหลักว่าผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง ให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้ ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้ ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออก ใบรับแจ้ง ประกอบกับมาตรา 23 ซึ่งวางหลักว่า เมื่อมีคนเกิด ผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการเกิดตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด[2] หากมีการดำเนินการตามมาตรา 19 และมาตรา 23แล้วน้องผักกาดจะไม่มีปัญหาของการเป็นบุคคลไร้รัฐอีกต่อไป
ปัญหาต่อมาคือ การที่น้องผักกาดเป็นบุคคลไร้รัฐที่รัฐไทยยังมิได้รับรองให้มีสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรส่งผลให้น้องผักกาดไม่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพของกองทุนเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคล ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สามารถเบิกจากรัฐได้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนใน ข้อ 25(1) ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีของตนและของครอบครัว รวมทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการดูแลรักษาทางการแพทย์[3] รัฐไทยจึงควรเข้าไปช่วยเหลือในการรับรองสถานะบุคคลให้น้องไม่เป็นบุคคลไร้รัฐ และดูแลให้สิทธิในหลักประกันสุขภาพในกองทุนเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลภายหลังจากการรับสถานะบุคคลของน้องผักกาดแล้ว โดยอาจให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ดูแลให้สิทธิของคนพิการอีกด้วย
กรณีศึกษาของน้องนาแฮ ข้อเท็จจริงคือ น้องเกิดที่จังหวัดเชียงราย พิการจนไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปกติได้ ยังมิได้รับการรับรองสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรของรัฐใดๆในโลก เนื่องจากไม่มีการแจ้งเกิด โดยบิดามีชื่อในทะเบียนประวัติบุคคลบนพื้นที่สูงและทะเบียนบ้านสำหรับคนมีสิทธิอาศัยชั่วคราว(ทร.13) น้องจึงเป็นบุคคลไร้รัฐและไร้สัญชาติ อีกทั้งเมื่อไม่มีการรับรองสถานะบุคคลจากประเทศไทย น้องจึงไม่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพในกองทุนเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลตามมติของคุณรัฐมนตรีทั้งที่ตัวน้องเองมีปัญหาสถานะบุคคล ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับรองบุคคลดังกล่าวในทะเบียนราษฎรตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้อ 6 ที่กำหนดให้ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับทุกแห่งหนว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย (Right to recognition) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 7คือ เด็กจะได้รับการจดทะเบียนทันทีหลังการเกิด และจะมีสิทธิที่จะมีชื่อนับแต่เกิด และสิทธิที่จะได้สัญชาติ และเท่าที่จะเป็นไปได้ สิทธิที่จะรู้จักและได้รับการดูแลเลี้ยงดูจากบิดามารดาของตน และรัฐภาคีจะประกันให้มีการปฏิบัติตามสิทธิเหล่านี้ตามกฎหมายภายในและพันธกรณีของรัฐภาคีที่มีอยู่ ภายใต้ตราสารระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เด็กจะตกอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ[4] ประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐภาคีจึงต้องเข้าไปคุ้มครองสัญชาติของน้องนาแฮ ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่าน้องเกิดที่ประเทศไทย ปรากฏตัวในฐานะของคนไร้รัฐก็เพียงพอแล้วที่ประเทศไทยจะคุ้มครองสิทธิของน้องในการมีตัวตนทางกฎหมาย สิทธิในการรับรองสถานะบุคคล อีกทั้งการที่น้องนาแฮพิการนั้นส่งผลให้น้องไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้จึงเกี่ยวข้องกับสิทธิในการได้รับการศึกษาซึ่งมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเช่นนั้น และได้รับความคุ้มครองและรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในข้อ 26(1)คือ ทุกคนมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องให้เปล่าอย่างน้อยในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับประถมจะต้องเป็นภาคบังคับ การศึกษาด้านวิชาการและวิชาชีพจะต้องเปิดเป็นการทั่วไป และการศึกษาระดับสูงขึ้นไปจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคสำหรับทุกคนบนพื้นฐานของคุณสมบัติความเหมาะสม
กรณีศึกษาของน้องอาป่า ข้อเท็จจริงคือ น้องเกิดที่จังหวัดเชียงราย บิดามารดาเป็นบุคคลไร้สัญชาติที่อพยพมาจากประเทศเมียนมาร์ พวกเขาได้รับสิทธิอาศัยชั่วคราวตามกฎหมายไทยว่าด้วยการเข้าเมืองและได้รับการบันทึกในทร.13 ในสถานะคนที่มีสิทธิอาศัยชั่วคราว น้องอาข่าจึงเป็นบุคคลที่ไม่ไร้รัฐแต่ไร้สัญชาติแต่น้องมีสิทธิร้องขอสัญชาติไทย ต่อมาน้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนขาหักทั้ง 2 ขา ไม่แน่นอนว่าสามารถใช้การได้เหมือนเดิมหรือไม่ อีกทั้งยังถูกฟ้องร้องต่อศาลในความผิดที่ขับรถโดยประมาทต่อศาลยุติธรรม ในด้านของสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลน้องเป็นผู้ทรงสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรี และในด้านของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ค่าใช้จ่ายในการสู้คดี การมีทนายความนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิกระจกเงาและมูลนิธิ ศ.คนึงฦาไชย การที่น้องเป็นบุคคลไร้สัญชาติเป็นปัญหาของความไร้โอกาสในการต่อสู้คดีส่งผลให้อาจต่อสู้คดีแพ้เพราะไม่มีความรู้ทางกฎหมายเพียงพอและขาดการช่วยเหลือจากทางภาครัฐที่ควรจะให้ความช่วยเหลือเนื่องจากสิทธิในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้อ 11(1) คือ ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย ซึ่งตนได้รับหลักประกันที่จำเป็นทั้งปวงสำหรับการต่อสู้คดี
จะเห็นได้ว่าปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนต่างๆนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากปัญหาสถานะบุคคลที่บุคคลเหล่านั้นอาจเป็นบุคคลไร้รัฐหรือไร้สัญชาติหรือทั้งไร้รัฐและไร้สัญชาติแล้วแต่กรณี เป็นหน้าที่ของรัฐภาคีและรัฐที่ร่วมรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในการให้ความคุ้มครอง รับรอง ให้และส่งเสริมให้บุคคลเหล่านั้นได้รับสิทธิ ใช้สิทธิ เข้าถึงสิทธิได้อย่างเต็มที่ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งบนโลกใบนี้โดยไม่คำนึงถึงสถานะบุคคล
[1] กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย. สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ.2535. (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://fad.moi.go.th/group3/g3_law2.htm. 2 พฤษภาคม 2557
[2] ศูนย์ทนายความทั่วไทย. พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534. (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://www.thailandlawyercenter.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538973729&Ntype=19. 2 พฤษภาคม 2557
[3] กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน. (ออนไลน์). แหล่งที่มาwww.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf. 2 พฤษภาคม 2557
[4]คณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติ.อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก. (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://www.senate.go.th/committee2551/committee/files/committee22/convention%20on%20children.pdf. 2 พฤษภาคม 2557
เขียนวันที่ 2 พฤษภาคม 2557
ไม่มีความเห็น