ความเป็นจริงในประเทศไทยที่ไม่มีใครปฏิเสธได้


ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ไม่มีใครปฏิเสธได้

จากเหตุการณ์การเมืองบ้านเราตอนนี้สิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้คือการแบ่งคนไทยออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ความจริงพบว่า ความคิดเห็นที่เกิดขึ้นกับสังคมก็เลยต้องมี 2 แบบ ที่กลายเป็นความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความจริงของอำมาตยาธิปไตยกับความจริงของเสรีประชาธิปไตย ถ้าสังเกตุดีๆแม้กระทั่งเรื่องของความหมาย คำจำกัดความของคำว่า "ประชาธิปไตย" ก็ยังแตกต่างกันเลย ต่างฝ่ายต่างบอกว่าก่อม๊อบเพื่อขอทวงคืนประชาธิปไตย นั่งดูทีวีแล้วขำๆ นะ แล้วไม่เคยมีคนสงสัยฉุกคิดหรือตอบคำถามเหล่านี้บ้างหรือคะว่า โดยนิยามของประชาธิปไตยจริงๆ มันหมายถึงอะไร? และการได้มาซึ่งประชาธิปไตยต้องเป็นอย่างไร? แล้วที่เค้าเรียกว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย คืออะไร? ทั้งสองระบอบผลดีผลเสียกับคนไทยและประเทศไทยในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวอย่างไร?

ความดีความชั่วอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจมาก เพราะนับเป็นสาเหตุหลักสำคัญที่สุดที่ใช้เป็นมูลเหตุของความขัดแย้งของสองกลุ่มใหญ่ในครั้งนี้ ความดีและคนดีของอำมาตยาธิปไตยก็เป็นอีกแบบ คนดีหรือความดีของเสรีประชาธิปไตยก็เป็นอีกแบบแตกต่างกันอย่างชนิดที่ตรงกันข้ามกันเลยคะ แล้วก็ไม่สงสัยหรือตั้งคำถามอะไรอีกเหมือนเดิมใช่ไหมคะ ว่าตกลงเป็นอย่างไรกันแน่? ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้หมายถึงอะไร? มีอะไรอยู่เบิ้องหลังไหม? และเค้าต้องการอะไร? เพราะดูเหมือนว่าจะมั่นใจและปักใจเหลือเกินในนิยามของความดีหรือคนดีของฝ่ายตัวเองว่าถูกต้อง100%

ความยุติธรรมและความอยุติธรรมอันนี้ก็แปลกไม่แพ้กันเลยคะ ไม่เคยสงสัยบ้างหรือคะว่าแล้วนี่ที่เค้าเถึยงกันนี่เค้าใช้รัฐธรรมนูญหรือกฏหมายปกครองประเทศฉบับเดียวกันไหมหว่า? หรือว่ามันมีอยู่ 2 ฉบับ ที่หน้าปกชื่อเหมือนกันอยู่ที่ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย 1 ฉบับ ที่องค์กรอิสระใช้อยู่กับที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยใช้อีก 1 ฉบับ เพราะเห็นพิพากษาออกมาแต่ละคดี วุ่นวาย ไม่จบสิ้น หาจุดจบไม่ได้ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยบอกอีกฝ่ายไม่รับฟังศาล ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยบอกศาลไม่ยุติธรรม ศาลเป็นพวกเดี่ยวของอำมาตย์ เป็นหอเอนเมืองพิซ่า อ้าว!! แล้วมันเป็นยังไงกันแน่?

นิยามของความรุนแรงกับความสงบก็อีกอันนี้ยิ่งสุดยอดของความแปลกประหลาดอีกอย่างในสายตาของคนไทย มีการวิพากวิจารณ์กันมากมายในสังคมไทย ไม่เคยมีใครสนใจจะหาความจริงอีกเหมือนเดิมใช่ไหมคะ

สิ่งที่ดิฉันพูดมาทั้งหมดเป็นการตั้งข้อสังเกตุนะคะ เอา 4 ประเด็นนี้ก็พอ สงสัยจริงๆ คะว่า ความรู้ที่เรียนมา ศึกษาวิจัยมา การผ่านประสบการณ์ชีวิตมา ไม่สามารถทำให้เราหาความจริงเรื่องแค่นี้กันได้เลยจริงๆ หรือคะ แยกแยะไม่ออกเลยใช่ไหมว่าอะไรคือข้อมูล อะไรคือข้อสมมติฐาน อะไรคือข้อเท็จจริงที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว อะไรคือกฏ อะไรคือหลักการ อะไรคือความเห็นร่วม และที่สำคัญที่สุดอะไรคือปัญหาหลักที่ทำให้เราคิดไม่ออก อยุดคิด ปิดสมอง ปิดรับข้อมูล ไม่เคยฉุกคิด และปักใจเชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยอะไรเลย? โดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาชน ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เป็นอย่างดี อย่างนี้ไม่ให้เรียกว่าแปลก แล้วจะให้เรียกว่าอะไรคะ

ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ใช่แต่องค์กรอิสระเท่านั้นที่แปลก ….ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนไทยก็สุดยอดแห่งความแปลก...แต่ก็ดีเหมือนกันนะคะ นานๆ จะได้เห็นสักทีปรากฏการณ์แปลกๆ ขอบคุณที่ได้เห็นคะ นี่หรือที่เค้าเรียกว่าThailand only!!!!!

หมายเลขบันทึก: 567586เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2014 09:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 ตุลาคม 2015 10:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท