บทความที่ 5 เรื่องกฎหมายไทยว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
โทษประหารชีวิตนั้นเป็นบทลงโทษลักษณะหนึ่งที่มีความรุนแรงที่สุดของโทษทางอาญาของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งไทยเป็นเพียง 1 ใน 58 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่ยังมีโทษประหารชีวิต จึงเป็นที่น่าพิจารณาว่าเหตุใดประเทศส่วนใหญ่ในโลกมีการยกเลิกโทษดังกล่าวแต่เหตุใดยังคงมีบางประเทศที่กำหนดโทษดังกล่าวไว้
การกำหนดบทลงโทษต่างๆแก่ผู้กระทำผิดนั้นมีวัตถุประสงค์ตามทฤษฎีต่างๆหลายประการได้แก่ ทฤษฎีการลงโทษเพื่อทดแทนความผิด (Retributive Theory)ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์(Utilitarian Theory)ทฤษฎีการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด (Rehabilitative Theory)และทฤษฎีการลงโทษเพื่อปกป้องคุ้มครองสังคม (Social Protection Theory)
เมื่อพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของการลงโทษแล้วจะพบว่าโทษประหารชีวิตนั้นสามารถบรรลุวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือเป็นการปกป้องคุ้มครองสังคมเพราะเป็นการกันบุคคลผู้กระทำผิดให้ออกไปจากสังคมได้อย่างถาวร แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์อื่นใดตามทฤษฎีในการลงโทษผู้กระทำผิดดังที่ได้กล่าวมาเลย
หากพิจารณาในแง่ของการยับยั้งหรือสร้างความกลัวให้แก่ผู้ที่คิดจะกระทำความผิดรายหลัง ก็จะพบว่าการกำหนดให้มีโทษดังกล่าวนั้นมิได้ทำให้การกระทำความผิดลดน้อยลงแต่อย่างใดอันมีปรากฏในงานวิจัยทางวิชาการจากหลายประเทศ
ทั้งเมื่อพิจารณาตามหลักสิทธิมนุษยชนก็จะพบว่าเป็นวิธีการลงโทษที่กระทบโดยตรงต่อสิทธิในการมีชีวิตอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่บุคคลทุกคนต้องมีในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ อันเป็นสิทธิที่ไม่สามารถถูกผู้ใดพรากไปได้หรือแม้แต่ตัวผู้ทรงสิทธิเองก็ไม่อาจสละสิทธิในการมีชีวิตไปได้เช่นกัน แม้ว่าบุคคลผู้ต้องโทษประหารชีวิตนั้นต้องเป็นบุคคลที่กระทำความผิดรุนแรง แต่คำจำกัดความของคำว่าความผิดที่รุนแรงนั้นก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศแต่ละสังคม อันเป็นเพียงการกำหนดขึ้นของผู้มีอำนาจในการตรากฎหมาย
จึงเป็นที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งว่าบุคคลเหล่านั้นมีสิทธิที่จะกำหนดบทลงโทษที่มองข้ามสิทธิในการมีชีวิตของมนุษย์อันเป็นคุณค่าขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้หรือไม่
เขียนเมื่อวันที่ 3พ.ค.2557
ไม่มีความเห็น