บันทึกบุญ...ครั้งหนึ่งในชีวิต ตอน..ประวัติท่านเจ้าคุณ พระราชไพศาลมุนี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี(ธ) เจ้าสำนักวัดโมกขธรรมาราม ตำบลขุนทะเล อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ข้าพเจ้า...อยากเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชีวิต 

ที่ครั้งหนึ่งได้ร่วมสร้าง"มหาวิทยะเจดีย์" เจดีย์ไทย-พม่า.. กับท่านเจ้าคุณพระราชไพศาลมุนี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี(ธ) และชาวพม่า ที่มีจิตศรัทธาแรงกล้าในการสร้างเจดีย์แห่งนี้ 

เพื่อไว้เป็นอนุสรณ์ของชีวิต ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต อาจจะเป็นครั้งเดียวที่ได้มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ร่วมกับพระคุณเจ้าฯ ....

..

พระแท้ ผู้มีจิตยึดมั่นในคำสอนแห่งองค์พระศาสดา

..

จากแหล่งอ้างอิง...ที่นี่  :   http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNREV4TVRBMU1nPT0=

..

วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6891 ข่าวสดรายวัน


พระราชไพศาลมุนี สุปฏิปันโนสุราษฎร์

สุราษฎร์ธานี จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในภาคใต้ มีภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งภูเขา ทะเล ที่ราบลุ่มและเกาะแก่งนับร้อย

กล่าวได้ว่า เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์เคยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่ง เรือง เห็นได้จากหลักฐานโบราณสถานต่างๆ เช่น พระบรมธาตุไชยา วัดคูหา วัดเขาพระนิ่ม เป็นต้น

ขณะเดียวกัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังเป็นถิ่นกำเนิดท่านพุทธทาสภิกขุ มหาเถระแห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ ธานี ที่ท่านได้ทิ้งมรดกธรรมอันทรงคุณค่ามหาศาลไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา

ท่ามกลางกระแสสังคมที่วุ่นวาย ปรากฏสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เป็นที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม คือ วัดโมกขธรรมาราม หมู่ที่ 3 ต.ขุนทะเล อ.เมือง ห่างจากถนนสุราษฎร์-นาสารเพียงครึ่งกิโลเมตร

มีพระราชไพศาลมุนี เป็นผู้ครองอารามแห่งนี้ คอยกล่อมเกลาจิตใจผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นให้สงบลงได้

ปัจจุบัน พระราชไพศาลมุนี (ปราโมทย์ สิริจันโท) สิริอายุ 68 พรรษา 45 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ธ) ด้วย


(ภาพนี้..ข้าพเจ้าถ่ายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 9.57 น ในวันคล้ายวันเกิดของท่าน ครบรอบ 72 ปี )


อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ปราโมทย์ พริกบุญจันทร์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2484 ที่ ต.ท่าซอม อ.หัวไทร จ.นครศรี ธรรมราช โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายชินและนางปุ้ย พริกบุญจันทร์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา

ในช่วงวัยเด็ก ท่านได้เข้าศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดท่าเสริม เมื่อจบชั้นประถม 4 ได้เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดท่าเสริม สอบได้มัธยมปีที่ 4 และได้ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 5 และ 6 ที่โรงเรียนปากพนังวิทยา อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรม ราช

เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จึงได้หยุดเรียน ไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ที่แขวงการทางสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา เป็นเวลา 1 ปี ก่อนกลับบ้านช่วยโยมพ่อโยมแม่ทำนา

กระทั่งอายุ 23 ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสม บท เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2507 ณ พัทธสีมาวัดท่าเสริม ต.ท่าซอม อ.หัวไทร จ.นครศรี ธรรมราช โดยมีพระครูศีลาจารโกวิท วัดสระเกต อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมงคลพุทธิญาณ เจ้าอาวาสวัดรามประดิษฐ์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระมหาน่วม วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ด้วยความรู้พื้นฐานทางโลกที่มีมาพอสมควร เมื่อได้เข้าสู่ทางธรรมทำให้การศึกษาทางธรรมคล่องแคล่วและเข้าถึงหลักธรรมมากยิ่งขึ้น ท่านจึงเลือกที่จะเดินเส้นทางที่สงบสุข

พ.ศ.2508 ท่านย้ายจากวัดท่าเสริม อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ไปอยู่จำพรรษาที่วัดธรรมบูชา อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกนักธรรมและแผนกบาลี

พ.ศ.2512 สามารถสอบนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ และสอบได้บาลี ประโยค 1-2

ในปี พ.ศ.2512 ท่านได้ย้ายจากวัดธรรมบูชา อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ไปอยู่จำพรรษาที่วัดโมกขธรรมาราม หมู่ที่ 3 ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีแห่งนี้ โดยบัญชาของหลวงพ่อพระสุธรรมาธิบดี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระเทพวราจารย์ เจ้าคณะอำเภอในสมัยนั้นให้ไปปกครองวัดโมกขธรรมาราม

พ.ศ.2512 การที่พระราชไพศาลมุนี ต้องย้ายจากวัดธรรมบูชา ซึ่งอยู่ในเมือง มาอยู่วัดโมกขธรรมาราม หมู่ที่ 3 ต.ขุนทะเล ซึ่งอยู่ชานเมืองความสะดวกสบายปลอดภัยคงมีไม่เท่าวัดธรรมบูชา อีกทั้งในยุคสมัยนั้น เป็นยุคแห่งการต่อสู้ทางความคิดของคนไทย ที่มีความขัดแย้งกันถึงขั้นต่อสู้กันอย่างรุนแรง

ด้วยพื้นเพเดิมที่ไม่ใช่ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยกำเนิด จึงเป็นสิ่งท้าทายยิ่งนัก

การเข้าถึง คือ ทางแก้ปัญหา พระราชไพศาลมุนี ได้ออกบิณฑบาตทุกเช้าโดยไม่เกรงกลัวภัยอันตราย ทำให้ท่านได้รู้ถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เป็นการแจ้งให้ชาวบ้านได้รู้ว่ายังมีที่พึ่งทางจิตใจ คือ วัด

ทำให้ชาวบ้านหันมาเข้าวัดมากขึ้นและมีโอกาสซึมซับในหลักธรรม ผลจากการใส่ใจในทุกข์สุขให้ธรรมะในการแก้ปัญหาให้ปัญญาแก่ชาวบ้านทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาเกิดขึ้น จนกลับมาเป็นเกราะคุ้มกันให้วัด ส่งเสริมพัฒนาจนมีความก้าวหน้ามาจวบจนทุกวันนี้

ปัจจุบัน วัดโมกขธรรมารามมีความเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่สงบเงียบในเนื้อที่ 52 ไร่ มีนักเรียนนักศึกษาชาวบ้านและพระสงฆ์เดินทางเข้ามาปฏิบัติธรรมอยู่เป็นระยะ

พระราชไพศาลมุนี ได้สร้างอุโบสถชั้นเดียวขนาดกว้าง 20 เมตรยาว 44 เมตร จำลองแบบมาจากกุสินารา ประเทศอินเดีย และสร้างสถานที่นั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อรองรับการเปิดสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและธรรมศึกษาทุกปี

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2521 เป็นเจ้าอาวาสวัดโมกข ธรรมาราม พ.ศ.2533 เป็นเจ้าคณะตำบลขุนทะเล พ.ศ.2538 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พ.ศ.2542 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2543 เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ธ)

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2512 ดำรงตำแหน่งพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของพระราชธรรมมุนี พ.ศ.2521 พระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสิริวุฒิชัย

พ.ศ.2544 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุทธิสารสุธี

พ.ศ.2549 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชไพศาลมุนี

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระราชไพศาลมุนี ได้ยึดถือหลักธรรม ว่า "ทำแล้ว ไม่พูด ดีกว่าพูดแล้วไม่ทำ"

สำหรับงานด้านการปกครอง ท่านจะยึดถือในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ยึดถือในสิ่งที่ถูกใจ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอเรื่องใดขึ้นมา หากพิจารณาแล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นงานที่อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบ ท่านก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ส่วนงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านจะมุ่งเน้นควบคู่กันไปกับงานการศึกษาด้วย

เส้นทางสายธรรมของพระราชไพศาลมุนี แม้จะไม่ได้โลดโผนพิสดาร มากด้วยอภินิหาร แต่ด้วยความเป็นพระแท้ ผู้มีจิตยึดมั่นในคำสอนแห่งองค์พระศาสดา เอาใจใส่หน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ด้วยดี

นำมาซึ่งความสงบร่มเย็นแก่หมู่คณะสงฆ์ ตลอดถึงฆราวาสญาติโยมชาวเมืองสุราษฎร์ธานีถ้วนหน้า


ข้าพเจ้าจะทำประวัติศาสตร์การสร้างมหาวิทยะเจดีย์ เจดีย์ไทย-พม่า เก็บไว้ที่นี่...

..

เมื่อข้าพเจ้าชราภาพลง...

และก่อนลาลับจากโลกนี้ไป 

ได้หวลรำลึกถึงบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของชีวิต............ที่ได้ทำร่วมกับพระคุณเจ้า...พระราชไพศาลมุนี

พระแท้...... ผู้มีจิตยึดมั่นในคำสอนแห่งองค์พระศาสดา

ถือเป็นมงคลสูงสุดของชีวิตข้าพเจ้าแล้ว...ที่ได้เกิดมาบนโลกนี้...

หมายเลขบันทึก: 567354เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2014 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กรกฎาคม 2014 09:36 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ รู้สึกซาบซึ้งและปิติใจที่ได้ทราบข่าวบุญอันยิ่งใหญ่ และประวัติของท่าน

เจ้าคุณพระราชไพศาลมุนี  ตลอดจนข้อมูลของจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ร่วมอนุโมทนาบุญค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท