ประเทศไทย
ถือเป็นประเทศที่มีที่ตั้งอันรายล้อมไปด้วยประเทศอื่นอีกหลายหลายประเทศ เปรียบเสมือนถนนสายกลาง
หรือจุดกึ่งกลาง ที่ต้องผ่าน หากต้องการเดินทางจากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง โดยประเทศไทยนั้น
ด้านทิศเหนือ มีอาณาเขตจดประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทิศตะวันออก
จดประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และราชอาณาจักรกัมพูชา ทิศตะวันตก
จดประเทศเมียนมา และทิศใต้ จดประเทศมาเลเชีย
จากที่ตั้งดังกล่าว เชื่อมโยงมาสู่ปัญหาปัจจุบัน
ในประเด็นเรื่องผู้หนีภัยความตายและสิทธิมนุษยชน จึงพอทำให้เข้าใจได้ว่า สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่ง
ที่ทำให้ประชากรหรือผู้หนีภัยความตายจากประเทศอื่น ดังเช่นประเทศเมียนมา
ไม่ว่าจะเป็นชาวพม่าหรือชาวกระเหรี่ยง เลือกที่จะหนีภัยความตายมาประเทศไทย อาจเป็นเพราะเรื่องเขตแดนที่ติดกันก็เป็นได้ และสาเหตุอีกประการหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ
ความเชื่อถือ หรือไว้วางใจในประเทศที่สอง กล่าวคือ ความไว้วางใจจากผู้ลี้ภัย
ว่าประเทศไทยจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาทางด้านสิทธิมนุษยชนได้
ความเชื่อใจที่ว่าพวกเขาจะไม่โดนตอกย้ำ ให้ได้รับความสาหัสทางร่างกายและจิตใจ
และความเชื่อ ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับการรับรอง การปฏิบัติ ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
และควรให้ความสำคัญ กับประเด็นต่อมาที่ว่า เช่นนั้นแล้วความเชื่อดังกล่าวของพวกเขา
เรา....ในฐานะที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ สามารถให้สิ่งเหล่านั้นแก่เขาได้หรือไม่
จริงอยู่ ที่ประเทศไทยมิได้ลงนามเป็นภาคีสมาชิก อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย
แต่ประเทศไทย ก็ได้เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาอันเกี่ยวข้องกับการรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่างๆมากมาย
ที่สำคัญก็คือ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
หรือ Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination หรือ
CERD และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมอืงและสิทธิทางการเมือง หรือ International
Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPRด้วยเหตุนี้
แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสภานภาพผู้ลี้ภัย แต่ก็จะขับไล่ผู้หนีภัยความตายจากประเทศอื่นออกไปไม่ได้
เพราะถือเป็นการกระทำ ที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นไปตาย อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หรือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนในโลกพึงมี
จากการสืบค้นข้อมูล
และรับฟังประเด็นปัญหาผู้ลี้ภัยความตายที่หนีมาอยู่ในประเทศไทย ทำให้ทราบว่าประเทศไทยนั้น
แม้จะรับผู้ลี้ภัยความตายเข้ามาดูแล ซึ่งพื้นที่ที่ดูแลนั้นมีลักษณะเป็นค่ายกักกัน
มีการทำรั้วรอบของชิดไว้อย่างแน่นหนา
เพื่อใช้เป็นที่อยู่สำหรับผู้หนีภัยจากประเทศต่างๆ ซึ่งในค่ายบางพื้นที่ ไม่มีการรับรองสิทธิมนุษยชนให้พวกเขาเหล่านั้นอย่างแท้จริง
หรือกล่าวได้ว่า ประเทศไทย มีการกระทำการ ที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพวกเขา
ดังเช่น จากบทสัมภาษณ์
“สิทธิของผู้หนีภัยความตาย”จากมุมมองนักวิชาการด้านสิทธิ ซึ่งได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและให้สัมภาษณ์ว่า
“ การกักกันให้ผู้ลี้ภัยอยู่แต่ในค่าย
ไม่ปล่อยให้ออกมาข้างนอกนั้น ในระยะแรก ที่เริ่มตั้งค่าย
รัฐไทยคาดว่าผู้ลี้ภัยจะอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปีเท่านั้น พอเหตุการณ์สู้รบสงบลงก็จะส่งกลับไป
แต่จนถึงปัจจุบัน
บางค่ายอยู่กันเป็นสิบยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่ได้กลับเพราะสงครามยังไม่สงบ
แต่ปัญหาก็คือนโยบายของรัฐไทยยังเป็นนโยบายสำหรับการอยู่ชั่วคราวเหมือนเดิม
โดยไม่ได้พัฒนากรอบความคิดว่า การที่เอาคนมากักเอาไว้เป็นระยะสิบยี่สิบปีจะทำให้เกิดผลเสียกับมนุษย์อย่างไรเด็กที่เกิดและโตในค่ายผู้ลี้ภัยไม่มีโอกาสได้ทำงานเหมือนคนทั่วไป
เมื่อไม่ได้ทำงาน คุณค่าของเขาก็ลดน้อยลง
ความรู้สึกของเขาในการอยู่ไปวัน ๆ ไม่ได้ทำอะไร ชีวิตผ่านไป
ตรงนี้ทำให้ระดับสากลมีแผนการรณรงค์ออกมาต่อต้านการนำมนุษย์มาเก็บเอาไว้ในคลังสินค้าโดยไม่ได้ทำอะไร เพราะเป็นการจำกัดสิทธิของความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ก็ทำให้ชีวิตคนจำนวนเป็นแสนคนถูกตัดขาดจากการพัฒนาไป
ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อตัวของเขาเองและคนรุ่นถัดไปด้วย ”
ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ปัญหาดังกล่าว
เป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญ โดยพึงคำนึงถึงคำพูดที่ว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เป็นสำคัญ ควรมีการคิดหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว
ซึ่งในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรมีการปฎบัติให้เป็นไปตาม กฎหมายระหว่างประเทศที่เราได้ไปเป็นภาคีสมาชิก ปฏิบัติให้ได้อย่างที่เราได้ให้สัญญาไว้
ทำให้กฎหมายมีผลใช้บังคับให้ได้ในทางปฏิบัติ เช่น
เรื่องการคุ้มครองสิทธิจากการถูกละเมิดทางร่างกาย กลไกทางกฎหมายก็มีอยู่
แต่กลไกที่จะทำให้กฎหมายบังคับใช้ยังมีปัญหา เช่น ถ้าผู้หนีภัยความตายถูกข่มขืน
กลไกทางกฎหมายไทยมีการให้ความคุ้มครองตรงนี้
โดยหากไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องส่งอัยการฟ้องเพื่อจับกุมดำเนินคดี
แต่ว่ากลไกที่จะบังคับใช้ยังมีปัญหาอยู่ตรงที่
หากผู้หนีภัยความตายถูกข่มขืนแต่ไม่มีบัตรประจำตัวอะไรเลย เมื่อเดินทางไปแจ้งความก็จะถูกกลไกของกฎหมายเข้าเมืองอีกฉบับหนึ่งควบคุมไว้ ทำให้ถูกจับในฐานผู้หลบหนีเข้าเมืองก่อนที่จะแจ้งความว่าถูกข่มขืน
จึงกลายเป็นว่า ประเทศไทยมีกฎหมายดี แต่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง
ทั้งนี้ หากประเทศไทย
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภาคีอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนต่างๆ
แต่ไม่สามารถทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้จริง หรือ
มีเจตนาที่จะไม่ให้การบังคับใช้เป็นไปได้จริง ไม่เพียงแต่ผู้บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น
ที่จะได้รับการดูถูก และไม่ไว้วางใจจากคนในประเทศ
แต่จะส่งผลกระทบไปสู่ภายนอกประเทศด้วย กล่าวคือ ประเทศอื่นๆก็อาจจะออกมาต่อต้าน
และไม่ให้การยอมรับประเทศของเรา
อ้างอิง
http://salweennews.org/home/?p=986 บทสัมภาษณ์ : “สิทธิของผู้หนีภัยความตาย”จากมุมมองนักวิชาการด้านสิทธิ
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-5112.htm
http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/iccprt.pdf