บันทึกของท่านเขมรังสี
บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคน ย่อมทราบดีว่า ความสุข ความชุ่มฉ่ำ ถ้ารู้วิชามีปัญญาทำก็เป็นของทำเอาได้โดยไม่ต้องซื้อเอาด้วยทุนอันแพงลิบลับ แต่ถ้าทำเพื่อเห็นแก่การที่เอามาเสพ แล้วก็ผ่านเลยไปเสียเช่นนี้ไม่อบอุ่น สถิตเสถียรถาวรอยู่ได้และมันก็เสพไม่พอสักทีที่แท้แล้ว “ผู้ใคร่เสพ” ย่อมขาดทุนลิบลับ กว่าจะได้เสพสักที ก็เหนื่อยหอบปางตายครั้นเสพแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเพิ่มพูนขึ้นมา เมื่อวานนี้เขามีชีวิตอยู่เพื่อกิน กลัว ขี้เกียจ กามราคะ พรุ่งนี้เขาก็จะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้อีก เพราะเหตุนี้แลพวกเราจึงพากันหลีกเลี่ยงการงานที่ทำแล้วไม่มีกำไรยิ่งกว่านั้น ยังไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเป็นข้าทาสมันตลอดกาลนาน
การรักษาศีล ทำสมาธิ ประกอบปัญญา มิใช่เรื่องที่ทำกันเพื่ออวดคนอื่น แต่เป็นการทำเพื่อให้ตนพ้นจากความเป็นทาสด้วยประการทั้งปวง และโดยความหมายอย่างนี้ย่อมเห็นได้ว่ามิใช่ทำเพื่อไปสู่สุขอย่างที่สามัญมนุษย์รู้จักสุขอันนั้นเลย เพราะสุขอย่างที่คนทั้งหลายเข้าใจกันนั้นเป็นสุขเอาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งบำรุงบำเรอให้เกิดขึ้นและหลังฉากแห่งความสุขชนิดนั้นก็มีเจ้านายใจสกปรกยืนยิ้มอยู่เป็นแถวแต่ละคนมีหน้าตาท่าทางต่าง ๆ กัน
ปกติสุขแห่งพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นได้ยาก จะเปรียบก้าวต่ำ ๆ ของความสุขฝ่ายนี้ก็เหมือนกับว่า บุคคลผู้มีความเหนื่อยกายเหนื่อยใจผู้หนึ่ง จะเหนื่อยมาเพราะทำนาในอากาศร้อน หรือเพราะวิ่งมาจากทางอันไกลหรือโดยประการอื่นใดก็ตาม เพราะความเหนื่อยนั้น ทำให้รู้สึกประหนึ่งใจจะขาด ครั้นเมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่ง มีลมพัดสบายมีที่นอนอันสะอาดพร้อมด้วยหมอนอย่างดีเขาเอนตัวลงในที่นั้น ศรีษะตกถึงหมอน ทอดกายให้เป็นไปตามเรื่องหลับตาลงแล้วมิได้ใส่ใจนึกคิดในสิ่งใด เขาก็ถอนหายใจออกมาเองอย่างยาวที่สุดที่มีลมอยู่ในปอด เมื่อกิจสุดท้ายนี้ได้ทำแล้ว “ขณะ” ต่อมาอันนั้นเองย่อมเป็นขณะของความสุข ความสุขนั้นอาจเกิดชั่วระยะเวลาเพียง ๒-๓ วินาที ขณะแห่งความสุขนั้น มิต้องอาศัยอามิสแต่อย่างใด ไม่มี ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือวัตถุกามอันใดในโลกมาประกอบและนี้ก็เป็นเพียงขณะจิตอันหนึ่งเท่านั้นซึ่งถ้าพูดในความรู้ของวิญญูชนแล้วเขาก็คงเข้าใจได้ว่าถ้าทำให้เกิดได้หนึ่งขณะ ก็ทำให้เกิดได้อีกหนึ่งขณะ และเราอาจรวมแต่ละขณะเข้าไว้ติด ๆ กันจะเป็นร้อยขณะพันขณะ หมื่นขณะ แสนขณะ และโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีความเห็น