Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

การเข้าสู่กาลกลียุคแห่งสังคมมนุษยชาติ!!


ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา วันคืน เดือนปี เลื่อนไหลไปตามความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่ประจักษ์ว่า สิ่งทั้งหลายไม่เพียงมีเกิดขึ้น แต่ต้องมีดับไป แม้ตั้งอยู่ ก็แปรปรวน ยักย้ายถ่ายเท ยากแท้ต่อการควบคุมรักษา... ความไม่สบายกาย (ทุกข์) ความไม่สบายใจ (โทมนัส) จึงตอบแทนกลับคืน เมื่อเข้าไปยึดถือในทุกสรรพสิ่งแห่งโลกนี้ ที่สุดคือ ความเป็นตัวเรา ของเรา!

พระพุทธศาสนา โดย พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระดำรัสสั่งสอนภิกษุทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืน สังขารเป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ (อะนัสสาสิกะ)... ภิกษุทั้งหลาย! เพียงเท่านี้ก็พอเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายความกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง...

...ในบางสมัยล่วงไปหลายพันหลายแสนปี ที่ฝนไม่ตกเลยก็มีเกิดขึ้น ป่าใหญ่ พันธุ์พฤกษา หยูกยา และหญ้าทั้งหลาย (รวมถึงต้นข้าว) ย่อมเหี่ยวเฉาแห้งตายไปหมด... ต่อไปโดยกาลล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สอง ย่อมปรากฏ แม่น้ำหนองบึงทั้งหมดงวดแห้งหายไป... อาทิตย์ดวงที่สาม ย่อมปรากฏ แม่น้ำสายใหญ่ๆ ทั้งหมดก็งวดแห้งไป... อาทิตย์ดวงที่สี่ ย่อมปรากฏ มหาสระทั้งหลายอันเป็นที่เกิดแห่งแม่น้ำใหญ่ก็งวดแห้งไป ไม่มีอยู่... อาทิตย์ดวงที่ห้า ย่อมปรากฏ น้ำในมหาสมุทรลึกร้อยโยชน์ก็งวดแห้งลง กระทั่งเหลืออยู่เพียงเจ็ดชั่วต้นกาลก็มี... เหลืออยู่เพียง หก-ห้า-สี่-สาม-สอง กระทั่งหนึ่งชั่วต้นกาลก็มี... งวดลงเหลือเพียงเจ็ดชั่วบุรุษก็มี... งวดลงเหลือเพียงแค่สะเอว... เพียงแค่เข่า... เพียงแค่ข้อเท้า จนกระทั่งเหลืออยู่ลึกเท่าน้ำในรอยเท้าโค ในที่นั้นๆ... เมื่อฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกในฤดูสารทลงมาในที่นั้นๆ

ต่อมา เพราะ อาทิตย์ดวงที่ห้า ปรากฏขึ้น น้ำในหนองสมุทรไม่มีอยู่ แม้สักว่าองคุลีเดียว... มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่หก ย่อมปรากฏ มหาปฐพีและหุบเขาสิเนรุ ก็มีควันขึ้น ยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่เจ็ด ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่เจ็ด แผ่นดินและหุบเขาใหญ่น้อยทั้งหลายมีไฟลุกโพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกัน แม้หุบเขาสิเนรุที่ยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นก้อนไฟลุกโชติช่วง จนพังทลายไปทั้งหมด... 

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระภิกษุว่า เพียงเท่านี้ก็ พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายจากความกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง

จากที่กล่าวมา เพื่อการเข้าใจในความเป็นจริงว่า แม้สังขารหรือโลกนี้ก็ ยังไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ นี่เป็นธรรมคติของสังขารหรือโลกนี้! แต่บนความจริงที่แสดงในรูปเหตุปัจจัย อันจะทำให้สังขารหรือโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน หวังอะไรไม่ได้ แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปอย่างล่วงเวลาตามสมัยกาลเวลา จะยาวหรือจะสั้นก็ขึ้นอยู่กับ พฤติจิต และ พฤติกรรมของสัตว์โลก เป็นสำคัญ...

ในพระพุทธศาสนาจึงได้สะท้อนความจริงแท้ด้านดังกล่าวในรูป กฎเกณฑ์ กรรม ที่กำหนดแน่นอนตายตัวในเรื่องของการกระทำ (กรรมนิยาม) ซึ่งเมื่อไหร่ สัตว์โลก โดยเฉพาะ สัตว์มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครองข้าราชการ ประชาชน มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง เบียดเบียนทำลายกัน ดุจดิรัจฉานสัตว์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะมีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ และเมื่อดวงจันทร์...ดวงอาทิตย์มี ปริวรรต (การเคลื่อนตัว/การดำเนินไป) ไม่สม่ำเสมอแล้วดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย ก็จักมีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ... 

 เมื่อดาวนักษัตรและดาวทั้งหลายมีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ คืนและวัน... เดือนและปักษ์... ฤดูและปี ก็จะมีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ กระทบส่งต่อกันไปเป็นลูกโซ่ อันเป็นการแสดงกฎอิทัปปัจจยตา ที่เป็นความกำหนดแน่นอนตายตัวอันมีอยู่จริงในธรรมชาติหรือในโลกนี้

เมื่อฤดูและปีมีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ ลมทุกชนิดก็พัดไม่สม่ำเสมอ ปัญชสา คือ ระบบแห่งทิศทางลม ก็จักแปรปรวน คำกล่าวที่ว่า ลมทะเลพัดกลางวัน ลมบกพัดยามค่ำคืน ก็คงจะต้องผันแปรเปลี่ยนไปตามสังขาร ที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน หวังอะไรไม่ได้... เมื่อปัญชสาซัดส่าย เทวดาผู้ทำหน้าที่ก็ระส่ำสับสน ด้วยยากต่อการควบคุมดูแลธรรมชาติที่ตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง... ฝนฟ้าจึงตกผิดฤดูกาล ไม่เหมาะสม ธรรมชาติจึงเสียสมดุล พืชพรรณข้าวกล้าเกิดวิบัติ แปรสภาพ แก่สุกไม่สม่ำเสมอ เมื่อพืชพรรณธัญญาหารมีปัญหาด้านคุณภาพ จึงกระทบกับสุขภาพของสัตว์ผู้บริโภค ให้ได้รับโอชะจากอาหารที่ผิดเพี้ยน จึงมีอายุสั้น ผิวพรรณทราม ทุพพลภาพ และมีโรคภัยไข้เจ็บมาก นี่เป็นผลของการไร้ศีลธรรมของสัตว์โลกในเบื้องต้น เมื่อสุขภาพกายไม่สมบูรณ์ สุขภาพจิตก็ยิ่งต่ำทราม การปฏิเสธศีลธรรม การไม่เคารพธรรม จึงเกิดมีมากขึ้น เพิ่มพูนวันทวี ความแย่งชิง การแสวงหาโดยไร้ศีลธรรม จึงแพร่ระบาด ความยากจนทุกข์เข็ญก็ปรากฏไปทั่ว 

 โดยเฉพาะเมื่อชนชั้นปกครองอาศัยอำนาจที่มีอยู่ในมือฉ้อโกงประชาชน ไม่ละเว้นแม้ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ผู้ประกอบอาชีพการเกษตร กรรมกรผู้รับจ้างหาเช้ากินค่ำ การหลอกลวงปล้นสะดมโดยใช้อำนาจกฎหมายเป็นเครื่องมือจึงเกิดขึ้น เรื่องราวการโกงค่าข้าวชาวนา การฉ้อโกงทรัพยากรน้ำที่ประชาชนใช้ร่วมกันจึงปรากฏ การปล้นสะดมทุกรูปแบบในเชิงนโยบายจากอำนาจการบริหารจึงเกิดขึ้น... ความเดือดร้อนแผ่กว้างไปทั่วทุกกลุ่มอาชีพ ไม่เว้นแม้ในบรรดาข้าราชการ หากทำตัวสวนกระแสก็จะถูกสอยทิ้งในระบบ และหากมีฐานกำลังในหน้าที่เข้มแข็งก็จักถูกอำนาจเถื่อนคุกคาม ดังปรากฏการใช้ศัสตราวุธ ยิงปืน ยิงระเบิด M.79 เข้าไปคุกคาม ทำลายทุกคนที่วางตัวเป็นปฏิปักษ์...

ความยากจนขัดสนกลายเป็นโรคร้ายของสังคม การลักทรัพย์ การติดสิ่งเสพติด การติดการพนัน การมอมเมาด้วยอบายมุข จะแพร่ระบาดมากขึ้น ด้วยการคิดโครงการประชานิยมมอมเมาให้ประชาชนสลบไสลด้วยอำนาจแห่งกิเลส เพื่อสะดวกต่อการจัดการ ควบคุม ดูแล และบัญชาสั่งการ ให้เป็นไปตามความปรารถนา จึงเกิดการจัดตั้งกองกำลังทาสขึ้น เพื่อสนองรับใช้ความต้องการ จึงเกิดการแพร่ระบาดการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างกว้างขวาง แรง กล้าที่สุด ดังที่ปรากฏมีการจัดตั้งกองกำลังอย่างเปิดเผย เพื่อต่อต้านทำลายอำนาจตรงข้าม การปลุกเร้าให้สัตว์โลกกระหายเลือด มองผู้ต่างความคิดต่างปฏิบัติ คือศัตรูที่ต้องทำลาย จึงกลายเป็นเรื่องเปิดเผยและถูกต้อง... ไม่ผิดกฎหมาย และไม่บาป ตามความเชื่อในกฎแห่งกรรม การฆ่ามนุษย์ด้วยกันจึงแพร่ระบาดไปทั่วแดนดิน

เมื่อ ปาณาติบาต เป็นไปอย่างแรงกล้าถึงที่สุด มุสาวาท คือการพูดจาหลอกลวง คดโกง ก็จะแพร่ขยายเติบโตไปทั่ว สังคมสื่อออนไลน์จึงมีผลต่อการชี้นำสังคม... ผู้มีอำนาจจึงพยายามควบคุมสื่อสารทุกชนิด เพื่อนำมาใช้เป็น ยุทธปัจจัย โจมตี ทำลาย สร้างภาพ บิดเบือนใน สงครามจิตวิทยา ของสัตว์โลก เพื่อควบคุมจิตใจของสัตว์โลกให้คล้อยตาม อันสามารถโน้มน้อมไปตามกระแสที่สร้างขึ้นได้

เมื่อ มุสาวาท (การพูดจาหลอกลวง) เกิดมากขึ้น สมัยนั้น มนุษย์จะมีอายุขัยถอยลง ต่อมา ปิสุณาวาท คือ การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกันเป็นก๊กเป็นหมู่ ทำลายความสามัคคี จะเป็นอาชีพหลักของมนุษย์บางเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อใช้ปากหากิน ด้วยการรับจ้างพูดตลก... พูดให้ทะเลาะ พูดเพื่อโน้มนำให้คนหลงเชื่อ พูดเพื่อก่อความฉิบหาย จนถึงขั้นประกอบอาชญากรรม เผาบ้าน ฆ่าหมู่ชน หรือแม้แต่ให้ประหัตประหารตนเองทิ้งก็ได้ ผู้ที่ทำงานด้วยปากจนมีประสิทธิภาพขั้นสูง จะได้ดี เป็นถึงเสนาบดี มีทั้งอำนาจ บริวาร เงินทอง ยศ ตำแหน่ง สัตว์ในสังคมนั้นจึงถือปฏิบัติตามกัน ด้วยคิดว่าพึงจะได้ความมั่งมีศรีสุข เพราะการทำงานด้วยปากที่สามารถใช้ดุจเป็นคมหอก คมดาบ ยิ่งกว่าศัสตราวุธใดๆ ในสมัยดังกล่าว จะมีการรวมมวลชนตั้งเวทีปราศรัยกันทั่วทุกมุมเมือง ประกอบการใช้สื่อสารนำเสนอไปทั่วทุกทิศ... นักพูดริยำ... พาลชนสวมสูท จะปรากฏตัวมากมาย สัตว์สังคมจะได้ยิน... ได้ฟังแต่ อธรรมวาที... 

 อกุศลกรรมจึงแพร่ระบาด สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์จะมีอายุขัยลดลงไปอีก เมื่อความเลวร้ายของโลกมาถึงขั้นนี้ อะไรๆ ก็จักเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อย่างไม่ต้องคิดหาเหตุผล การประพฤติผิดในศีลข้อ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร จะมีมากขึ้น แรงกล้าถึงที่สุด การใช้คำหยาบ การพูดจาเพ้อเจ้อ สนุกสนาน ไร้สาระ จะแพร่ระบาดไปทั่ว เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมทรามแห่งจิตวิญญาณของสัตว์ประเสริฐที่ไร้ ศีลธรรม... ในสมัยนั้น สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ก็จักมีอายุขัยสั้นลงไปอีก ต่อมา การคิดแผนโกงกิน กอบโกย ทุจริตคอร์รัปชัน จะแพร่ระบาดอย่างแรงกล้า ด้วยอำนาจอภิชฌาเติบโตอย่างเต็มที่ ในจิตวิญญาณของสัตว์สังคม... 

ความพยาบาท หรือการทำลายล้างกันของสัตว์โลกในทุกรูปแบบ ก็จะขยายตัวไปจากธรรม จะแพร่พันธุ์ไปอย่างรวดเร็วในจิตใจของสัตว์โลก ธรรม ๓ ประการจักผุดปรากฏ เหมือนดอกไม้บานในฤดูกาล ได้แก่ ๑ อธัมราคะ(ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) ๒ วิสมโลภะ (ความโลภไม่สิ้นสุด) ๓ มิจฉาธรรม (ความประพฤติตามอำนาจกิเลส) สมัยดังกล่าวนี้อายุขัยของสัตว์มนุษย์ยิ่งลดลงไปอีก และเพราะ อกุศลธรรม ทั้ง ๓ เป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด จึงนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ผิดธรรม การไม่ปฏิบัติอย่างรู้คุณในพ่อแม่ครูบาอาจารย์ สมณพราหมณ์ พระเจ้าแผ่นดิน ผู้มีคุณ ฯลฯ จึงปรากฏ จึงไม่ต้องกล่าวถึงความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่ำ ที่เคยถือปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมอันดีของสังคม (กุลเชษฐาปจายนธรรม) สัตว์มนุษย์จึงมีอายุขัยยิ่งลดลง ผิวพรรณก็เสื่อมทราม อับปัญญา ไร้ความเข้าใจในสิ่งที่ถูก-ผิด... ไม่เข้าใจในความควร ความไม่ควร จนสัตว์โลกเข้าสู่การกระทำการสัมเภท ดุจสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย... 

ความคิดร้าย ความคิดพยาบาท ความอาฆาต ของสัตว์เหล่านั้น จนในที่สุด แต่ละคนได้พากันถือศัสตราวุธเพื่อปลงชีวิตซึ่งกันและกัน ราวกะว่า ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ นั่นคือการเปลี่ยนผ่านสังคมโลกสู่ กาลกลียุค และเข้าสู่ สัตถันตรกัปป์ (การใช้อาวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อนตลอดเวลา ๗ วัน) ในเบื้องหน้า ซึ่งหากสาธุชนรู้จักอ่านคิดพิจารณาก็จักพบว่า 

 เรากำลังเปลี่ยนยุคสู่ กลียุค ดังที่ พระสงฆ์รูปหนึ่งได้กล่าวเมื่อร่วม ๑๐ ปีที่ผ่านมาว่า... 

มีนิมิตเสียงดังก้องท้องฟ้าว่า กาลกลียุคในโลกมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว พร้อมภาพ เห็นสัตว์มนุษย์ถือศัสตราวุธในมือออกไล่ล่าฆ่าฟันกัน

 และนิมิตต่อมาคือ จะมีผู้ทรงบารมีธรรมเข้าสู่พระพุทธศาสนา เพื่อเร่งช่วยเหลือสัตว์โลกที่ยังมีวาสนาบารมีให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ จะได้ทุเลาความเลวร้ายลง 

แม้จะต้องเป็นไปตามกฎความจริงที่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ดังที่กล่าวมา.

เจริญพร

(Cr.Dr.Nitinant Wisaweisuan)

การเข้าสู่กาลกลียุคแห่งสังคมมนุษยชาติ!!
โดย..พระ อ.อารยวังโส

ปักธงธรรม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -
- ศุกร์ที่ 25 เมษายน 2557

คำสำคัญ (Tags): #ปักธงธรรม
หมายเลขบันทึก: 566898เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2014 21:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน 2014 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท