เรื่องเล่าระหว่างวันที่ ๑๔ - ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗



๒๐ เมษายน ๒๕๕๗

เรียน. เพื่อนครู ผู้บริหารและผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน

วันจันทร์ที่๑๔. เมษายน. ๒๕๕๗. เป็นวันหยุดราชการเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ใช้เวลาทำงานบ้านอ่านหนังสือติดตามข่าวสารบ้านเมืองและยามว่างก็ดูสถานที่เก่าๆที่เคยไปเที่ยวมาผ่านapp IStreet View จะให้ภาพที่ดูได้ 360 องศาแม้ภาพจะไม่เป็นปัจจุบันแต่ก็ทำให้การระลึกความหลังสมจริงสมจังเหมือนเราไปอยู่ในเหตุการณ์ บ่ายฝนเทลงมาอย่างหนักเป็นสูตรของวันสงกรานต์จะต้องมีฝนตกปีไหนไม่ตกเขาว่าจะแล้งนาน. ใช้เวลาในการค้นหาแบบแปลนสำหรับสร้างมุมกาแฟที่สำนักงานใหม่ ชอบใจแบบของสไมล์โฮมราคาก่อสร้างเป็นล้านแต่เรามีวัสดุจำพวกไม้อยู่แล้วคงต้องพึ่งท่านเจ้าคุณพระราชวรเมธาจารย์เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี(ธรรมยุต) รวมทั้งพวกเราเอง

 

วันอังคารที่๑๕เมษายน๒๕๕๗. ออกไปกินข้าวแกงบ้านชะอวดถนนราชพฤกษ์ที่เปิดขายทุกวันขณะที่ร้านข้าวแกงส่วนใหญ่ปิดหลายวันคั่วกลิ้งเนื้อร้านนี้อร่อยคล้ายคั่วกลิ้งในงานเลี้ยงปักษ์ใต้ ขับรถเลยไปดูสำนักงานที่ปทุมธานีมีช่างทำงานอยู่๒-๓คนอยู่ทำงานและเฝ้าของไม่ได้กลับบ้านสังเกตการมุงกระเบื้องไม่ค่อยลงร่องตรงแนวคงต้องให้แก้ไขใหม่การเล่นสงกรานต์ไม่ค่อยครีกครื้นรถยนต์กระบะบรรทุกถัง๒๐๐ลิตรใส่น้ำมีคนนั่งหลังกระบะคอยสาดเล่นน้ำสงกรานต์กันพอเป็นธรรมเนียม. อากาศร้อนนักกลับเข้าบ้านสบายที่สุด

วันพุธที่๑๖เมษายน๒๕๕๗เป็นวันหยุดแถมให้กับข้าราชการอีกวันแต่รถเริ่มทยอยกลับเข้ากรุงเทพฯเว้นแต่คนที่ลาต่อไปอีกในวันที่๑๗และ๑๗ควบเสาร์อาทิตย์ นั่งเตรียมหัวข้อประชุมกรรมการคุมสอบในวันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนอนุบาลปทุมธานีเพื่อซักซ้อมแนวปฏิบัติให้เกิดความเรียบร้อยในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งครูผู้ช่วยประจำปี๒๕๕๗ครั้งนี้อ.ก.ค.ศ.เขตดำเนินการทั้งระบบจึงต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนยิ่งคนมาสมัคร๑๒๗๕คนถือว่ามากจึงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วยหนังสือพิมพ์เริ่มตีข่าวว่าได้กลิ่นทุจริต. ผมเอวยังมั่นใจในทีมงานและระบบของพวกเราว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นได้กลัวแต่ความประมาทเลินเล่อที่จะทำให้บกพร่องเสียหายเท่านั้น

.วันพฤหัสบดีที่๑๗เมษายน๒๕๕๗. วันนี้นัดหมายกรรมการคุมสอบมาประชุมเพื่อซักซ้อมการทำงาน. มีผู้แทนก.ค.ศ. ดร.พจมานพงษ์ไพบูลย์มาร่วมการประชุมด้วย. เลิกประชุมไปเยี่ยมสนามสอบที่โรงเรียนวัดหงส์ปทุมาวาสและที่เก็บตัวออกข้อสอบโรงเรียนคลองบ้านพร้าว. ได้ให้นโยบายกับทีมออกข้อสอบว่าอย่าให้ยากเกินไปจนไม่ได้คนมาเป็นครูเพราะเราลงทุนลงแรงไปมากกลับไม่ได้ผลกลับมาทำให้เหนื่อยฟรี

วันศุกร์ที่๑๘เมษายน. ๒๕๕๗. วันนี้เช้าเป็นประธานประชุมพิจารณาจัดทำรายละเอียดขั้นตอนการทำงานด้านธุรการของสำนักงานลูกเสือจังหวัดสำนักงานลูกเสือเขตพื้นที่และโรงเรียนเพราะไม่เป็นแนวเดียวกันเกิดความขลุกขลักมากมายจนเที่ยงออกดูความพร้อมภาคสนามทุกแห่งทั้งโรงเรียนอนุบาลปทุมธานี โรงเรียนวัดหงส์ปทุมาวาสและการออกข้อสอบที่โรงเรียนคลองบ้านพร้าว. ทุกคนดูเหนื่อยกับการเตรียมการครั้งนี้ แต่ก็ต้องทำให้สำเร็จโดยไม่มีข้อบกพร่องสำคัญที่จะกระทบต่อการสอบ.

วันเสาร์ที่๑๙เมษายน๒๕๕๗. ออกดูสนามสอบตั้งแต่เช้าเพื่อแก้ปัญหาร่วมกับประธานกรรมการสนามสอบและกรรมการกลางกรรมการคุมสอบทุกอย่างดำเนินการเป็นไปได้ด้วยดีอุปสรรคเล็กน้อยก็แก้ไขจนลุล่วง. ผู้แทนกคศมาตรวจเยี่ยมสนามสอบและสถานที่ออกข้อสอบ. อยู่จนสอบวิชาสุดท้ายเสร็จกลับมาดูห้องเก็บกระดาษคำตอบที่ห้องมั่นคงสพป.ปทุมธานีเขต๑เราพยายามสร้างระบบที่รัดกุมเพื่อความสุจริตเที่ยงธรรม

วันอาทิตย์ที่๒๐เมษายน๒๕๕๗วันนี้สอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งครูผู้ช่วยเป็นวันที่สองและเป็นวันสุดท้ายของภาคก.และภาคข. นอกจากมีผู้แทนจากก.ค.ศ. มาติดตามแล้วผู้แทนสพฐ. ก็ลงมาติดตามด้วย. จึงออกตรวจเยี่ยมสนามสอบทั้งโรงเรียนอนุบาลปทุมธานีและโรงเรียนวัดหงส์ปทุมาวาส. เวลา๑๕นาฬิกาการสอบวิชาสุดท้ายก็เสร็จสิ้นลง. เห็นลงตัวทุกฝ่ายแล้วจึงเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อทำธุระส่วนตัว

นิทานสอนใจ : ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ธันวาคม 2554 09:45 น. Share47

ขอบคุณภาพประกอบจาก gracerivers.com

ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบายเขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โตมีรถขับหลายคันมีบริวารมากมายรายล้อมปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมาบัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้นชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวเขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากลูกสาวตัวเล็กๆสุดที่รักเพียงคนเดียว

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไปชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชินแต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเองใบหน้าน้อยๆน่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจแม่ของเด็กตายจากไปนานแล้วลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายหากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใครด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีกแต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียนเธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลยพ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบสู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อยๆบีบปากผู้เป็นพ่อเบาๆ

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ลูกเลยไม่ชอบลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเองก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้วพ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

"ร้องไห้ทำไมลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ" เด็กหญิงตอบยิ้มๆ

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ลูกไม่มีห้องนอนสวยๆเหมือนก่อนไม่มีที่วิ่งเล่นกว้างๆไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียนไม่มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ไม่มีอาหารดีๆกินแล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อเมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้นพ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลยตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้วแต่ลูกได้พ่อคืนมาลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาวก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้พ่ออยากให้ลูกมีอนาคตอย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูงๆ"

"พ่อทำได้นี่ไม่ยากหรอกจ้ะสำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรพ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้วพ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้างๆโรงเรียนของหนูเขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วยเวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขาเขาก็จะช่วยให้คนๆนั้นสบายใจพ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

"คนทำงานเก่งๆมักยุ่งอยู่ตลอดเวลาเขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอกเพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อยๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

"ไม่จ้ะคุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้านและไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกันเด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอกทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

"ถ้าคนๆนี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหาเขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกันงั้นเราจะลองไปดูก็ได้" ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้วชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอกไม่นานเขาก็เจอบ้านของคนๆนั้นซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดาๆหลังหนึ่งเท่านั้น

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจนี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใครชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟังเธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อยๆก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

"คนที่คุณต้องการพบคงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะเดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้องๆหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกันกับห้องรับแขกแต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญเพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้วชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่งซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

"เกียรติบัตรฉบับนี้มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิตซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่นๆอีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้นซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขายและความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะเชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะเขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้านก่อนจะเดินเก้ๆกังๆเข้าไปในห้องของสามีเธอ

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงานที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่แต่ไม่ใช่เลยเพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดาๆและมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดีเขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไรๆได้ดีมากทีเดียวเขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างๆเตียงเขา

ขอบคุณภาพประกอบจาก storiesofwisdom.com

"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิเธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมากเลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติดๆขัดเขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่าคนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่าและยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้นเป็นของชายพิการคนนี้หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้วน่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะเป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ววันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หายต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอวลำตัวและมือของผมจนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

"ใช่ผมทำงานขายประกันหลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่าแล้วเริ่มทำงานขายประกันซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้มๆ

"ไม่หรอกครับผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียวแต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกันในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

"ดูเหมือนว่าคุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอกและถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไรถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดีผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆหัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้าโดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้เพราะฉะนั้นอะไรๆมันก็เลยง่ายขึ้น

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้คุณไม่สบายหากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผมคุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลยคนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจแม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไรแต่ถ้าไร้กำลังใจแขนขานั้นก็ไร้ความหมายผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจแต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขามีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ

"นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผมผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเองคติพจน์ข้อแรกคืออย่าวิตกกังวลและข้อสองคือถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

"ขอบคุณครับแต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาวซึ่งเป็นครูอนุบาลรวมทั้งเด็กๆจากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อยๆเพราะเด็กๆได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมากผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะแกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อยๆและแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมากคุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดีเพราะแกเป็นเด็กที่น่ารักอยู่เพื่อแกเถอะขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

"แต่ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผมตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลยแน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงานแต่ถ้าเราสู้ต่อไปและค่อยๆคิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะแต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาดเพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอกเชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมเขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจแต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

นายกำจัด  คงหนู

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต ๑

หมายเลขบันทึก: 566633เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2014 05:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน 2014 06:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท