บันทึก: ย่ำแดนกิโมโน โดราเอมอน (ตอนสาม My Trip)


MY TRIP

ไปเที่ยวครั้งนี้พักสามโรงแรมคือที่โตเกียว ที่ดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท และที่เกียวโต จะขอบันทึกเอาไว้สำหรับข้อดี ข้อเสีย สำหรับทั้งสามโรงแรมจากประสบการณ์ส่วนตัว และคิดว่าจะแถมเรื่องที่ท่องเที่ยวนิดหน่อย แบบประสบการณ์ตรง ซึ่งคนมาอาจจะได้รับเหมือนหรือแตกต่างก็ได้

โตเกียว: Grand Fresa Akasaka

พักที่โรงแรม Grand Fresa Akasaka Hotel ผ่าน booking.com อยู่ย่าน Akasaka เยื้องๆไปทางตะวันตกของสถานีโตเกียว

ข้อดี

  • ทำเล ต้องถือว่าค่อนข้างจะดีมากทีเดียว มีรถไฟสาย Chiyoda line ผ่านสายเดียว แต่ถ้าเดินออกทาง exit 6 ขึ้นบนถนนปุ๊บ เลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 30 ก้าว จะถึงโรงแรมทันที เดินทางจาก Narita นั่งรถ Narita Express มาลงสถานีโตเกียว และต่อสายแดง Marunouchi ไปสองป้าย เปลี่ยนเป็นสายเขียว Chiyoda line ที่สถานี Otemachi ก็ถึงสถานี Akasaka ในอีก 5 ป้าย ตอนขาขึ้นจากชานชาลาจนถึงระดับถนนมีทั้งลิฟท์และบันไดเลื่อนขึ้นทุกสถานี สะดวกมาก ทั้งๆที่มีกระเป๋าใบยักษ์สองใบ กระเป๋าเคบินอีกสองใบ
  • Transportation สาย Chiyoda คนไม่เยอะ และต่อไปได้ทุกที่ ตอนขากลับที่ต้องแบบกระเป๋า ควรจะเดินไปอีกสี่แยกนึง (ห่างประมาณ 200 เมตร) เพื่อไปใช้ lift ในอาคารลงไปที่ชานชาลา เพราะ exit 6 ข้างๆโรงแรมนั้นมีแต่บันไดเลื่อนขึ้น ไม่มีบันไดเลื่อนลง
  • Room ห้องไม่ใหญ่ (ตามความคาดหมาย) แต่ก็ไม่เล็กจนอึดอัด (พอซุกหัวนอนสบายๆ) ห้องน้ำ full-function and full gadgets น้ำร้อนสะใจดี มีทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว ในห้องมีโต๊ะหนีบผ้า (รีดผ้า) มีไมโครเวฟให้ซะด้วย มีเครื่อง moisterizer air ตั้งพื้น ผ้าห่มอย่างหนา อุ่นสบาย สะอาดสะอ้านมาก มี wifi free ในห้อง พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มดี พูดอังกฤษพอได้ ตรงหน้าเคาเตอร์มีร่ม waterfront ขาย ซึ่งได้ใช้ทันทีในวันแรกที่ฝนตก โรงแรมมีสองตึก ได้อยู่ที่ตึกที่สอง ชั้นล่างเป็นสปา มีนวดไทย นวดอโรมา (ไม่ได้ลอง เพราะไม่มีเวลา... น่าเสียดาย) มีร้านกาแฟน่ารักของโรงแรม เป็นที่ที่ไปนั่งวางแผนเที่ยววันแรก เพราะเข้าห้องได้ตอนบ่ายสามโมง หน้าโรงแรมมี family mart เหมือนร้าน 7/11 ของเรา มีทุกอย่างขาย รวมทั้งอาหารเช้าแบบไมโครเวฟ สะดวกดี

อยู่โตเกียวได้ไปเที่ยวสวนสาธารณะ Ueno park, Shinjuku-gyoen park และ Tokyo Tower ที่ได้ไป park เยอะเพราะพอดีเป็นฤดูกาลซากุระ (รูปภาพถ่ายมาเยอะมาก ให้ไปชมได้ใน facebook) สวนสาธารณะ Ueno เข้าชมฟรี แต่วันแรกฝนตก ได้ไปนั่งกินอาหารกลางวันตอนบ่ายสองกว่าๆในร้านข้างๆสวนนั่นเอง อยู่ใน Opera theatre อาหารอร่อยดี ต้องไปนั่งรอคิวอยู่สัก 10 นาที ไม่แพงมาก สวนนี้มี Starbucks ไปเปิดด้วย แต่แต่งร้านแบบญี่ปุ่น

Shinjuku-gyoen park เสียค่าเข้านิดหน่อย แต่เป็นสวนที่ใหญ่มาก มี theme สวนญี่ปุ่น สวนอังกฤษ สวนฝรั่งเศส และ tea-house แต่ละที่ซากุระนานาพันธุ์แข่งกันบาน มีคนญี่ปุ่นเอาเสื่อไปปูปิคนิกใต้ต้นซากุระกันเต็มไปหมด เดินเที่ยวจนเย็นไม่ได้กินข้าวเลย แต่มีไอติมขาย ได้กินขนมปังไอติมอร่อยมาก วันที่เที่ยวที่นี่อากาศดีสุดๆ สว่างไสว เย็นสบาย

Tokyo tower ต้องถือว่าผิดหวังนิดหน่อย หอคอยไม่สูงมากนัก แต่ก็เห็นได้ไกลทีเดียว เห็นแม้กระทั่งภูเขาไฟฟูจี แต่ก็ไม่ได้สวยอะไรจากมุมนี้ มี observatory floor 2 ชั้น เสียตังค์แยกต่างหากกัน และมีร้าน souvinir ขายของที่ระลึก หลากหลายดี แต่ของลายญี่ปุ่นสู้ที่เกียวโตไม่ได้

Disneyland resort: Sheraton Grande Tokyo Bay

ออกจาก Grand Fresa ไปขึ้นรถใต้ดิน Chiyoda line ตรง exit 3 ซึ่งมี lift ไปถึงชานชาลา ไปต่อรถลงที่โตเกียว เพื่อจะขึ้นรถไฟสาย Keiyo line ตรงไปดิสนีย์แลนด์

สถานีรถไฟโตเกียวมีขนาดมหึมา ใหญ่โต และซับซ้อนมากๆ จากจุดขึ้นรถจากรถไฟใต้ดิน และเดินไปยังจุดที่จะขึ้น Keiyo line อันเป็นรถไฟสายตรงไปดิสนีย์แลนด์นั้นไกลพอสมควรเลยทีเดียว น่าจะเผื่อเวลาอย่างน้อย 10 นาทีในการเดินเร็วๆ หรือมากกว่านั้นถ้ามีของเยอะหรือมีคนเดินช้าๆ ดิสนีย์แลนด์อยู่ชานเมืองโตเกียว ออกไปไกลพอสมควร สถานีที่ลงคือ Maihama ตั้งอยู่หน้า Park พอดิบพอดี

โรงแรมของดิสนีย์โดยตรงมีสองโรง กับโรงแรม official group อีกหกโรง ที่ที่ไปพักคือ Sheraton Grande Tokyo Bay เป็นหนึ่งในหก official hotel ของดิสนีย์ อันมีความสะดวกคือ มีเคาเตอร์ขายตั๋วเข้า park ในโรงแรมเลย และสองมีสถานีรถ monorail ของดิสนีย์ผ่านหน้าโรงแรม จะเดินทางไป park ไหนก็ง่ายดาย

อันที่จริง ถ้าวางแผนได้ดี โรงแรม official ของดิสนีย์จะตั้ง office สำหรับ check-in อยู่หน้าสถานี Maihama เลย เราสามารถเช็คอิน ณ​ office นี้ และเข้าไปเที่ยว park ได้ โดยเขาจะส่งกระเป๋าเราไปให้ที่โรงแรม แต่ reception office นี้ปิด 15.00 น. ผมไปถึง 15.00 น.เป๊ะ ปิดไปแล้ว!! เราเลยต้องเสียเวลาหอบข้าวหอบของนั่ง monorail ไปเช็คอินด้วยตนเองที่โรงแรม สาเหตุเพราะออกจากโตเกียวช้าไปนิดเดียว

ปัจจุบันดิสนีย์แลนด์โตเกียวมีสอง park คือ Disneyland กับ Disneysea เชื่อมต่อกันด้วย monorail ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 สถานีคือ Maihama station, Disneyland, Hotel group และ Disneysea รถจะมาทุกๆ 6 นาที เป็นรถที่มีหน้าต่างและราวจับเป็นรูปมิคกี้เมาส์ ขายตั๋วเป็น pre-paid card อยู่กี่วันก็ซื้อตั๋วนั้นไปเลย เพราะขึ้นสอง trip ก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว (อย่าลืมซื้อตั๋วเด็กสำหรับเด็ก!! ราคาถูกครึ่งนึง) ตั๋วปาร์คมีหลายชนิด คือตั๋ววัน ตั๋วครึ่งวัน (เข้าหลังบ่ายสาม) ตั๋วกลางคืน (เข้าหลังหกโมง) ตอนแรกจะซื้อตั๋วครึ่งวันสำหรับวันแรก แต่ไปๆมาๆ เราพบว่าตั๋วสามวันจะคุ้มที่สุด เพราะเราอยู่สองคืน จะมีเวลาเที่ยวครึ่งบ่ายวันแรก เต็มวันวันที่สอง และอีกครึ่งวันวันที่สาม ราคาถูกกว่าแยกซื้อ

ห้องนอนที่ Sheraton เป็นห้องนอนรวม ให้เตียง king-size มาสองเตียง และ single มาอีกสองเตียง!!! อยู่ได้สบายๆหกคน ห้องใหญ่มาก วิวสวยงาม และมีปลั๊กเต็มห้องไปหมด เป็นโรงแรมที่มีปลั๊กมากที่สุดใน trip ใน trip นี้ คนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่ก็รอคิวไม่นานจนเกินไป ชั้นลอบบี้มีร้านกาแฟและแสน็กรสชาติดี จากโรงแรมเดินไปสถานี monorail ประมาณ 5 นาทีถึง ตอนเช็คเอาท์ เราสามารถเช็คเอาท์จากโรงแรม ไปเที่ยวปาร์คต่อ และขอให้โรงแรมส่งกระเป่าเราไปรอที่ reception office หน้าสถานีรถไฟได้เลย ไม่ต้องย้อนกลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรมใหม่ คิดค่าบริการนิดเดียว (ถูกกว่าค่าตั๋ว monorail) ตรงสถานี Maihama มี shopping complex ใหญ่ ทั้งร้านค้าและร้านอาหาร ของแบรนด์เนม เช่นกระเป๋า Coach, Armani, etc เต็มไปหมด

FUN PARK

fun park ของดิสนีย์จะหวาดเสียวน้อยกว่าของ Universal Studio เข้าใจว่าเน้นเด็กเล็กมากกว่า ดังนั้น hard-core อาจจะไม่เสียวเท่าไหร่ และที่แตกต่างอีกประการคือ ขณะที่ Universal Studio จะมีขายตั๋ว Fast-Pass ราคาพิเศษ เพื่อเข้าคิวทางด่วนสำหรับเครื่องเล่นยอดฮิต แต่ของดิสนีย์จะไม่มี แต่จะใช้ระบบ reservation Fast-Pass แทน ระบบนี้คือคนจะต้องเอาบัตรเข้า park ไปจองคิว fasr-pass จากตู้จองคิว ที่จะตั้งอยู่หน้าทางเข้าเครื่องเล่นนั้นๆ ตู้จะให้ slip เล็กๆออกมาว่าเราได้คิวตอนกี่โมง (window ประมาณ 1 ชั่วโมง เช่น ต้องมาตอน 14-15.00 น.) เรามาตอนนั้น จะได้คิวที่สั้นกว่าเข้าคิวตามธรรมดามากมาย

ดังนั้นวิธีเล่นที่ถูกต้องคือ ไปถึงปาร์คโดยเร็วที่สุด วิ่งไปยังเครื่องเล่นที่คิวยาวๆและใช้บัตรเราจอง fast pass เอาไว้ หลังจากใช้บัตรครั้งนึง จะต้องมี cool-down period ระยะนึง ก่อนที่เราจะสามารถใช้บัตรนี้ไปจอง fast-pass ครั้งต่อไปได้ อาจจะประมาณอีกครึ่งชั่วโมง หรือสี่สิบห้านาที หรือหนึ่งชั่วโมง ขึ้นกับปริมาณแขกที่มาเที่ยว พอหมด cool-down period ปุ๊บ ส่งม้าเร็วของกลุ่มเรา เอา card ทั้งหมดไปจอง fast-pass อันต่อไป เพื่อที่จะ maximize จำนวนเครื่องเล่นที่เราจะใช้ fast-pass ในวันนั้นให้มากชิ้นที่สุด เนื่องจากว่าคิวจาก fast pass นี้มันคุ้มจริงๆในการใช้ ปกติเครื่องที่ยอดฮิต สามารถโดนคิวเข้าไปถึงสองชั่วโมงกว่าๆได้สบายๆ ถ้าเราจอง fast pass ได้ทุกครั้งที่หมด cool-down period ตั้งแต่เปิดปาร์คจนปิด (ปิดสี่ทุ่ม) อาจจะได้ถึง 6-8 รอบ แต่ส่วนใหญ่น่าจะได้แค่ 4-5 รอบเท่านั้นถ้าคนจองเยอะๆ ตู้มันก็จะปิดเร็ว

พอจองคิว fast pass ไป ที่เหลือ ก็ใช้ความอึดในการรอคิวเครื่องเล่นอื่นๆไปพลางๆ จนกว่าจะถึงเวลา ควรจะหางานอดิเรกอะไรทำระหว่างรอคิว เพราะยาวจริงๆ นั่งรอคิวสองชั่วโมงเพื่อจะได้เล่นสักสามนาทีอะไรแบบเนี้ย ที่ยาวหน่อยก็จะเป็นพวก 4DX คือนั่งในเก้าอี้ผาดโผน มีพ่นนำ้ พ่นลมใส่ โยกได้ไปมา หนังก็อาจจะยาวถึง 15-20 นาที แต่ถ้าเป็นพวกเรือเหาะ รถไฟผาดโผน มักจะตกประมาณ 3-4 นาทีต่อรอบเท่านั้นเอง

มาคราวนี้ซื้อของที่ระลึกน้อยมาก ไม่รู้เพราะอะไร รู้สึกของดิสนีย์มันไม่หลากหลายเหมือนของ Universal Studio ที่จะมีของเล่นตาม theme ตามแดนต่างๆ แต่ของดิสนีย์มักจะวนเวียนกับตัวละครเดิมๆเท่านั้นเอง ทำให้ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ แต่ที่วิ่งตามหาเสมอคือขนมชูรอส ที่เป็นแท่งๆเคลือบน้ำตาล หาซื้อที่อื่นไม่ใคร่ได้ มาเจอตาม Park เท่านั้น เด็กๆจะต้องหาให้เจอและลองกินให้ได้

อาหารใน park จะงั้นๆ ไม่อร่อยมาก พอประทังชีพ ใครอยากกินอะไร serious อาจจะต้องออกมาจาก park นั่ง monorail ไปลง Maihama และไปกินอะไรที่ Complex ตรงนั้นแทน เหมาะสำหรับคนที่พักอยู่ในโรงแรมแถวๆนี้ที่จะอยู่กันยันปิดปาร์ค เพราะมีเวลาเหลือเฟือ (เราเที่ยวจนปิดปาร์คสองคืนซ้อนเลย นับว่าอึดมาก)

เกียวโต: Almont Hotel

เราเช็คเอาท์จาก Sheraton Grande และ transfer กระเป๋าไปรอที่สถานีรถไฟ เช้าวันที่สามเราเข้าไปเล่นในปาร์คอีกครึ่งวันก็เดินทางต่อไปเกียวโต โดยนั่ง Nozomi ซึ่งเป็น bullet train ที่เร็วที่สุดจากโตเกียวไปเกียวโต ซื้อตั๋วที่สถานีโตเกียว จะมีเคาเตอร์ขาย หรือจะซื้อจากตู้ก็ได้ แต่ประสบการณ์ตู้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยไปยืนรอซื้อที่เคาเตอร์ รับบัตรเครดิตการ์ดด้วย ตั๋ว Shinkansen จะมีตั๋วที่นั่ง และตั๋วใบเสร็จ เวลาจะผ่านที่กั้น ต้องแนบทั้งสองใบเสียบลงไปใน slot พร้อมๆกันเลย ตอนแรกไม่รู้ เสียบลงไปใบเดียว มันไม่ยอมเปิดให้ เจ้าหน้าที่มันวิ่งมาดู เพราะแถวรอคิวชักยาว เลยพึ่งทราบตอนนั้น

การนั่ง bullet train กี่ครั้งๆก็ยังประทับใจ กระเป่าสามารถเสียบไว้ที่ช่องเก็บกระเป๋าที่อยู่ข้างๆประตูได้เลย มีโซ่พร้อมรหัสที่เราสามารถตั้งเอง เอาไว้คล้องกระเป๋าเราไว้ แต่จำรหัสให้ได้ก็แล้วกัน มิฉะนั้น ต้องไปรับกระเป๋าอีกทีที่สถานีปลายทางรถไฟ!!!!

Almont Hotel

อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเกียวโต ทางด้านทิศใต้ ดังนั้น โดย strategic location อาจจะไม่ถึงกับสุดยอดเท่าไหร่ เนื่องจากสถานที่เที่ยวเกือบ 100% ของเกียวโต จะอยู่ทางทิศเหนือต่อสถานี แต่ข้อดีของโรงแรมนี้คือ

  1. เดินจากสถานีเกียวโต ออก exit ด้านทิศใต้ลงมา (Hachijo East) เดินประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงโรงแรม ถือว่าใกล้ทีเดียว ไม่ต้องเสียค่ารถ ชอบโรงแรมแบบนี้โดยเฉพาะเวลาที่มีข้าวของ กระเป๋าเยอะๆ
  2. สถานีเกียวโต มีทุกอย่างที่นี่ สถานีรถไฟทั้งของ JR และของ Local ต้องผ่านที่นี่ มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆสามห้าง (Isetan, Porta และ Cube) มีร้านอาหารเปิดถึงสี่ทุ่ม มีสถานี subway และสถานีรถ bus ไปได้ทุกที่ ทุกแห่วง
  3. มี family mart ใกล้โรงแรม
  4. มี public bath ในโรงแรมด้วย ทั้งของผู้ชาย และของผู้หญิง แต่สุดท้ายไม่มีใครยอมไปลองใช้บริการ หึ หึ
  5. เป็นห้องรวมสามเตียงใหญ่ๆ นอนสี่คนสบายๆ
  6. free wifi in-room
  7. Full function bathroom และเครื่องปรับอากาศ
  8. ระบบเช็คเอาท์ที่เร็วสุดๆ ที่จริงก็เร็วมากทั้งสามโรงแรม ที่นี่สามารถเช็คเอาท์จากตู้เช็คเอาท์ได้เลย แต่เราไม่ทราบ เจ้าหน้าที่เอาบัตร room card เราไปรูดที่ตู้ปุ๊บ ก็เสร็จ เรียบร้อย
  9. โรงแรมนี้ขอ confirm จากเราบ่อยมาก (สงสัยแขกมาถามเยอะ) จะถามว่าจะมาจริงไหม มาเมื่อไหร่ มาถึงกี่โมง ฯลฯ เราก็ตอบ email เขาไป แค่นั้น response time ค่อนข้างเร็วในทุกๆเรื่อง

การเที่ยวในเกียวโต

traffic ในเกียวโตค่อนข้าง toxic และผู้โดยสารรถ bus ก็เยอะ คนแน่น เราพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือนั่ง subway ไปลงใกล้ที่เราจะเที่ยวให้มากที่สุด แล้วค่อยต่อรถเมล์ไป ขอแผนที่รถเมล์จากโรงแรมมาให้เรียบร้อย ที่ป้ายรถเมล์จะมีรายละเอียดบอกอีกทีว่าป้ายนี้มีสายอะไรผ่านบ้าง และจะไปที่ไหน แต่เราควรจะ plan ล่วงหน้าไว้ก่อน

ในรถเมล์จะมีประกาศป้ายด้วย เป็นระยะๆ รวมทั้ง motion display ว่าป้ายต่อไปจะเป็นอะไร ประกาศทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ แต่ปัญหาที่พบคือคนแน่นมากๆ ถ้าเราจะลงป้ายหน้า แนะนำให้เริ่มลุยแหวกไปหน้ารถแต่เนิ่นๆ เพราะมันแน่นจริงไรจริง

อากาศเย็นช่วยให้เดินไปเรื่อยๆสบายๆ โดยเฉพาะตอนเย็นๆ ตอนนี้ google map จาก iPhone หรือ iPad เราก็มีประโยชน์มาก ในการเดินหาอะไรต่อมิอะไร หรือ orientate ว่าเราอยู่ตรงไหน

Kinkakuji temple หรือวัดทอง เป็นที่ที่มาทีไรก็จะแวะ ทั้งๆที่แป๊บเดียวจริงๆ แต่คราวนี้ที่ค้นพบอีกอย่างคือ "ของที่ระลึกที่นี่ถูกที่สุดในเกียวโต"!!! ฉะนั้นจะซื้ออะไรก็ซื้อซะ ร้านมีไม่เยอะ แต่ร้านอื่นๆในเกียวโตะจะขายแพงกว่าหน่อยนึง อีกที่ที่มีของขายเยอะคือถนนเดินขึ้นไป Kiyamizu-dera temple จะเต็มไปด้วยของชำร่วย ของที่ระลึก และข้อสำคัญคือเป็นแหล่งเครื่องเคลือบที่ถือว่ามีชื่อเสียงของ Kansai เลยทีเดียว ราคา varied เยอะมาก ที่ชอบก็คือมีร้านๆนึง ขายของ hand-made ทั้งแบบเสื้อเพนท์ด้วย free-hand (แอบซื้อมาหนึ่งตัว) รองเท้าเพนท์ ของ hand-craft ราคาจะแพงกว่าร้านอื่นอยู่บ้าง แต่ของดูดีมาก

มาคราวนี้ได้ไปเที่ยว Arashiyama ที่อยู่ชานเมืองเกียวโต นั่งรถไฟ local ไป เมืองน่ารักดี มีวัดเซน กับสะพานโด่งดัง กับทางเดินป่าไผ่อันร่มรื่น สวยงาม ที่จริงจะต้องนั่ง scenic train จากตรงนี้ไป แต่เวลาหมดเสียก่อน และกลัวว่าจะไม่มีตั๋ว เลยต้องอาฆาตเอาไว้ครั้งต่อไป..... อิ อิ อิ

ห้าง Isetan ที่นี่ขายของ claim VAT ได้เต็มๆ 8% เลย ไม่มี service charge และคืนเป็นเงินสด ณ​ เดี๋ยวนั้น คนไม่เยอะมาก และรู้สึกเป็น incentive ให้อยาก shop ต่อไปเรื่อยๆ ซื้อถุงเท้ามาแปดคู่เลย

คำสำคัญ (Tags): #ญี่ปุ่น#เกียวโต
หมายเลขบันทึก: 566426เขียนเมื่อ 21 เมษายน 2014 13:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 เมษายน 2014 13:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท