ภาพ- google
แอโรบิก vs แอนแอโรบิก
เมื่อปี 1997 คณะของ Miller, Koceja & Hamilton ได้วิเคราะห์งานวิจัยมากกว่า 400 ชิ้นในช่วงเวลา 25 ปีก่อนเกี่ยวกับการออกกำลังกายแอโรบิกแบบธรรมดาพบว่าการออกกำลังกายแอโรบิกแบบธรรมดาด้วยความหนักปานกลางเพียงอย่างเดียวยังกระตุ้นการเผาผลาญให้เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะในภายหลังจากการออกกำลังกาย นอกเหนือจากที่ได้เผาผลาญไปในขณะที่กำลังออก
จากงานวิจัยของ Schuenke, Mikat & McBride 2002; Osterberg & Melby ปี 2000 ได้พบว่าการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิกด้วยความหนักมากเช่น แอโรบิกประเภทเร็วสลับช้า(อินเทอวัล)และการฝึกยกน้ำหนักจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญให้เพิ่มขึ้นในภายหลังได้มากกว่าแอโรบิกธรรมดาและ “การเผาผลาญในภายหลัง”นี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้นานถึง 16-48 ชั่วโมง
งานวิจัยของ Trapp et al. เมื่อปี 2008 ยังได้เปรียบเทียบแอโรบิกประเภทเร็วสลับช้านาน 20 นาทีกับแอโรบิกแบบธรรมดานาน 40 นาทีเป็นเวลา 15 สัปดาห์ๆละ 3 ครั้งซึ่งพบว่าประเภทเร็วสลับช้าสามารถลดไขมันลงได้มากกว่าถึง 5 ปอนด์(2.2 กก)
สรุปได้ว่าการออกกำลังกายเพื่อให้ได้ผลและปลอดภัยนั้นจำเป็นจะต้องมีความหนักที่ไม่น้อยไปและควรหยุดพักเมื่อหนักมากเกินไปด้วย
หมายเหตุ- การออกกำลังกายแบบแอโรบิก มิได้หมายถึงเพียงการเต้นตามจังหวะเพลงเท่านั้น แต่รวมถึงการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เผาผลาญไขมันสะสม ต่างจากการเผาผลาญไกลโคเจนภายในกล้ามเนื้อเมื่อออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิกเช่นในขณะยกน้ำหนักและเมื่อออกกำลังกายแอโรบิกแบบอินเทอวัล- ผู้แปล
อาจารย์คะ ช่วงนี้มีเข้าเวรที่ ร.ร.ด้วย เสียดายที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรม
สรุปว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกกับแบบแอนแอโรบิกต่างกันอย่างไรบ้างคะ ออกกำลังกายโดยมีช่วงเวลายาวนานไม่เท่ากัน และอื่น ๆ อะไรอีกบ้าง เคยอ่านแต่ยังไม่เข้าใจทั้งหมดค่ะ
สรุปความแตกต่างระหว่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิกกับแบบแอนแอโรบิกอย่างง่ายๆคือ แบบแอโรบิกคือทำไปเรื่อยๆไม่เหนื่อยมาก ต่างกับแบบแอนแอโรบิกคือถึงกับเหนื่อยหอบรวมถึงการฝึกยกน้ำหนักซึ่งต้องใช้แรงมากๆครับ