ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์ Amazing Grace


                                 

              (ที่มาของภาพ : http://www.titletrakk.com/movie-dvd-reviews/amazin...

            ภาพยนตร์เรื่อง Amazing Grace มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยายามของสมาชิกในสภาของอังกฤษท่านหนึ่งที่เป็นตัวเอกของเรื่อง คือ William Wilber Force ที่พยายามผลักดันให้มีการยกเลิกการค้าทาสขึ้น ท่ามกลางการคัดค้านของสมาชิกสภาคนอื่นๆ โดยใช้ความพยายามและระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 18 ปี กว่ากฎหมายการยกเลิกทาสในอังกฤษจะสำเร็จ

            ในระหว่างที่รับชมภาพยนตร์จนกระทั่งภาพยนตร์ได้จบลง ข้อคิดและความประทับใจต่างๆจากเรื่องนี้ที่ข้าพเจ้าได้รับก็คือ

            ประการแรก คือ ความพยายามของ William Wilber Force และเพื่อนๆของเขา แม้ว่าจะมีอุปสรรคและการถูกคัดค้านเพียงใด พวกเขาก็มิได้ย่อท้อหรือล้มเลิกความพยายามที่จะเสนอกฎหมายให้ยกเลิกการค้าทาส เนื่องจากในอดีตอังกฤษมีทัศนคติในเรื่องนี้ว่าทาสเป็นเพียงสิ่งของ หรือเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความเท่าเทียมกับตัวเอง ดังจะเห็นในฉากหนึ่งที่ สมาชิกสภาท่านหนึ่งนำทาสผิวสีของตนมาเป็นของพนัน ขณะที่กำลังเล่นไพ่กับ Wilber Force การที่จะเปลี่ยนทัศนคติหรือค่านิยมที่มีมายาวนานจนคนในสังคมมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดานั้นทำได้ยาก และคนที่เสนอแนวคิดที่ตรงข้ามจากแนวคิดเดิม จะถูกมองว่าเป็นคนที่แปลกและแตกต่างจากคนส่วนมาก ถ้าหากเจอสถานการณ์แบบนี้หลายคนอาจย่อท้อและล้มเลิกความพยายามในการทำเรื่องที่แตกต่างต่อไป แต่หากทำสำเร็จคนๆนั้นจะกลายเป็นคนแรกหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นบิดาของเรื่องๆนั้น และเป็นที่จดจำของคนรุ่นหลังต่อไป อย่างเช่น Wilber Force ที่เมื่อพูดถึงการยกเลิกทาส จะต้องมีชื่อของเขาอยู่เรื่องนี้เสมอ และอีกเหตุผลหนึ่งที่การเสนอกฎหมายให้ยกเลิกทาสทำได้ยาก เพราะจะทำให้กระทบการเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากอังกฤษใช้แรงงานของทาสในการทำเกษตรกรรม หากยกเลิกระบบทาสก็จะทำให้มีแรงงานลดลง ส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลงตามมา ดังนั้นกว่าจะผลักดันการยกเลิกทาสจนสำเร็จได้จึงต้องใช้ความพยายามและความอดทนมาก ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าเมื่อคิดที่จะทำสิ่งใด หากไม่ลดละความพยายาม ความสำเร็จนั้นจะต้องมาหาเราแน่ในสักวันหนึ่ง มีคำพูดหนึ่งของเพื่อนข้าพเจ้าประทับใจข้าพเจ้ามากก็คือ

                                                                 “มีคนเคยสอนว่า...
                                    สิ่งที่เราตามหาอยู่ มันก็กำลังตามหาเราอยู่เหมือนกัน
                               แต่ประเด็นคือ เราจะอดทนสู้ จนควรค่าที่จะเจอมันหรือป่าว...”

           ประการที่สอง คือ ประทับใจฉากที่เพื่อนคนหนึ่งที่เป็นทนายของ Wilber Force ได้กล่าวประโยคหนึ่งจับใจความได้ว่า เขาได้ยินทาสคนหนึ่งพูดว่า พระเจ้ากำลังมาช่วยพวกเขาแล้ว และพระเจ้าคนนั้นก็คือ William Wilber Force เป็นคำพูดที่ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดอย่างมากมายของเหล่าคนที่ถูกนำมาเป็นทาส ที่กำลังปิติยินดีว่ากำลังจะมีคนมาช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากความทรมาณดังกล่าวแล้ว แสดงถึงความพยายามของ Wilber Force ที่เป็นที่รับรู้กันไปทั่วในหมู่ของทาส ว่าหาก Wilber Force ทำสำเร็จพวกเขาจะได้รับอิสรภาพทันที

            ประการที่สาม คือ กำลังใจเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากต่อจิตใจของผู้ที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในการให้กำลังใจและความรักที่ภรรยาของ Wilber Force มอบให้สามีจนคอยเป็นแรงผลักดันและส่งเสริมให้ Wilber Force พยายามเสนอให้มีการยกเลิกการค้าทาสอีกครั้งหลังจากสิ้นสุดสงคราม

            ประการที่สี่ คือ ข้อคิดในเรื่องการพยายามยกเลิกระบบทาส โดยใช้วิธีการทางกฎหมาย และไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งวิธีการของ Wilber Force คือ ใช้วิธีการเสนอร่างกฎหมายให้ยกเลิกทาสในสภา และแม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาส่วนมากหลายต่อหลายครั้ง แต่ Wilber Force ก็ยังเลือกใช้แต่วิธีดังกล่าว จนในช่วงเวลาหนึ่งที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันที่เป็นทนาย ได้เสนอวิธีการที่เรียกว่า โบซัส เดคิปิโอ หรือที่หมายความว่า การใช้กลโกง ที่เขาอ่านเจอในหนังสือกฎหมาย ซึ่งวิธีการที่เขาเสนอก็คือ แทนที่จะเสนอให้ยกเลิกกฎหมายการค้าทาสเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเสนอกฎหมายให้เรือของอังกฤษทุกลำติดธงชาติของอังกฤษ เพราะในตอนนั้นเรือที่ขนส่งทาสจะติดธงชาติของอเมริกาเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษี และการเสนอกฎหมายนี้จะทำให้เรือทุกลำของประเทศอังกฤษต้องติดธงชาติอังกฤษ หากไม่ทำตามจะมีโทษ ดังนี้แล้วเรือค่าทาสที่เคยติดธงชาติของอเมริกาเพื่อเลี่ยงกฎหมายจึงต้องติดธงชาติอังกฤษ และทำให้ต้องเสียภาษีให้กับรัฐเป็นจำนวนมาก จะก่อให้เกิดความลำบากในการค้าทาสมากขึ้น เพราะการเสียภาษีอาจทำให้การขนส่งทาสเข้าประเทศไม่คุ้มทุน เพราะกว่าขนส่งทาสจากประเทศแอฟริกามาจนถึงประเทศอังกฤษ จะมีทาสเสียชีวิตระหว่างทางมากกว่าครึ่งหนึ่งที่นำมา ด้วยเหตุเจ็บป่วย บาดเจ็บจากการถูกโซ่ตรวนเสียดสี หรืออื่นๆ ซึ่งหากเสนอกฎหมายนี้ผ่านก็อาจจะทำให้มีกานขนส่งทาสเข้าประเทศลดลงมากกว่า 80 % ของทั้งหมด และยังเสนออีกว่าคนที่จะพูดเสนอกฎหมายให้เป็นคนที่มีลักษณะการพูดที่ทำให้คนฟังเบื่อหน่าย เพื่อให้สภาไม่ค่อยสนใจสาระสำคัญและเหตุผลเบื้องหลังของการเสนอกฎหมายนี้ และจะทำให้การเสนอกฎหมายนี้ผ่านสภาได้ง่ายขึ้น และก็เป็นจริงอย่างที่ทนายคนดังกล่าวเสนอ กฎหมายผ่านสภาได้ง่ายเนื่องจากสมาชิกสภาต่างไม่สนใจฟังปราศรัย บางท่านก็ออกไปขี่ม้าข้างนอก ดังนี้จึงแสดงให้เห็นว่าในสมัยนั้นได้ใช้เทคนิคต่างๆทางกฎหมายมาช่วยให้การยกเลิกทาสค่อยๆสำเร็จขึ้นทีละนิดๆ เป็นการใช้ความรู้ความสามารถที่ตนมีมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้กลโกงนั้น หากถูกใช้โดยคนที่ฉลาดและเป็นคนดีด้วย งานต่างๆก็จะสำเร็จได้ง่ายขึ้น

            และภายหลังเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายการค้าทาส และความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติใด ผิวสีใด ศาสนาใด เพศใด หรือเหตุผลอื่นใด เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้วย่อมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพที่บุคคลอื่นจะละเมิดมิได้ ตัวอย่างเช่น สิทธิในชีวิตร่างกาย เป็นสิทธิที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ใครจะมาทำร้ายร่างกายเราย่อมมีความผิดอาญา เป็นต้น เมื่อความคิดดังกล่าวแพร่หลายไปยังหลายๆประเทศที่มีการค้าทาส จึงทำให้หลายๆประเทศมีการยกเลิกการค้าทาสตามมา และก็รวมถึงประเทศไทยด้วย ประเทศไทยมีการยกเลิกระบบทาสและไพร่ขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)[1]

            แม้ปัจจุบันจะมีการยกเลิกกฎหมายค้าทาสไปหมดแล้ว แต่แท้จริงแล้วยังมีกระบวนการค้าทาสที่ซ้อนเร้นอยู่ในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และการรับคนต่างด้าวมาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต[2] ที่พบเห็นเป็นข่าวในปัจจุบันอยู่เนืองๆ และล่าสุดมีข่าวที่มีการหลอกหลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปทำงานร้านอาหาร ได้เงินเดือน 50,000-80,000 บาท แต่เมื่อพาไปแล้วกลับให้ไปค้าประเวณี[3] ซึ่งเป็นการกระทำโดยบังคับฝ่าฝืนใจผู้เสียหาย ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมาณ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการค้าทาสใดๆเลย จึงแสดงให้เห็นว่าการปัจจุบันนั้นแท้ที่จริงยังมีการการค้าแฝงเร้นอยู่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นที่น่ากังวลใจว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป การค้าทาสก็ยังคงมีภายใต้การต้องห้ามของกฎหมาย จึงควรที่จะต้องเร่งให้มีมาตรการกำจัดรูปแบบต่างๆเหล่านี้ให้หมดไปโดยเร็วที่สุด อย่างเร่งรัด และรัดกุมที่สุด เพื่อให้คนที่ทำอาชีพแบบนี้ไม่กล้าทำความผิดต่อไป และข้าพเจ้ามีความเชื่อมาเสมอว่า แม้จะมีการเยียวยาในกรณีที่ทันเวลาอย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายจากเหตุการณ์เหล่านี้จะยังมีรอยแผลเป็นฝังใจและกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ยากขึ้นอย่างแน่นอน ทางที่ดีจึงไม่ควรให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก หรือถ้าป้องกันไม่ทันก็ความให้มีความเสียหายน้อยที่สุด

                                                                เขียนวันที่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

 

เชิงอรรถ           

[1] การเลิกทาสในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.m-culture.go.th/ilovethaiculture/index.... (วันที่ค้นข้อมูล : 1 เมษยน 2557).

[2] ทลายแก๊งค้าแรงงาน บังคับ 19 สาวลาวร้อยมาลัย จนมือเน่า. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://hilight.kapook.com/view/36974. (วันที่ค้นข้อมูล : 1 เมษยน 2557).

[3] ปคม. แถลงจับค้ามนุษย์ไทย-ออสเตรเลีย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://news.sanook.com/1536670/%E0%B8%9B%E0%B8%84%... (วันที่ค้นข้อมูล : 1 เมษยน 2557).

หมายเลขบันทึก: 565209เขียนเมื่อ 2 เมษายน 2014 00:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2014 14:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท