เมื่อเย็นวานนี้ (๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) ผมมีโอกาสได้สนทนา "ถกเถียง" ตามคำชวนจากนิสิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรวมหลากหลายทั้งสาขาและชั้นปี มีทั้งคณะศึกษาศาสตร์ (สาขาสังคมศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป) คณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง คณะบัญชี คณะศิลปกรรม ฯลฯ จำนวนประมาณ ๑๐ คน มาสนทนาแลกเปลี่่ยนกระบวนทัศน์เรื่องหลากหลายเรื่อง เรื่องที่เราคุยกันมากสุดคือ เรื่อง นิสิตกับเครื่องแต่งกาย เขาบอกผมว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "แด่เธอผู้หนุ่มสาว" ที่พวกเขากำลังกระตุ้นให้ เยาวชนรุ่นใหม่ตระหนักในอิสรภาพของใจตนเอง ....
หลังจากคุยไปได้พักใหญ่ ธีรธรรม วงศ์สา (น่าจะเป็นพี่ผู้นำกลุ่มโดยธรรมชาติคนหนึ่ง) ได้โยนประเด็น FUFS (Free Uniform Free Spiritual) ที่พวกเขา "คิด" และกำลังทำอยู่ในขณะนี้.. เพื่อให้แต่ละคนแสดงความคิดเห็น.... ผมเสนอว่า "การรู้จักตนเอง" ดีที่สุด ดังนี้ครับ
เมื่อมนุษย์สำคัญว่าตนเอง "มีตัวตน" มีตนเอง และมาอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเป็นสังคม เกือบทั้งหมดสวม "หัวโขน" บนบริบทและฐานะต่างๆ ทางสังคม บ้างเป็นพ่อ บ้างเป็นแม่ บ้างเป็นพี่ เป็นน้อง บ้างเป็นหมอ ตำรวจ ครู ชาวนา รวมถึง พระสงฆ์องค์เจ้า ก็ถือได้ว่าเป็น "หัวโขน" หนึ่งที่แสดงสู่สังคม เมื่อสวม "หัวโขน" คำว่า "คน" จึงเหมาะสมกว่าคำว่า "มนุษย์"
เมื่อสวม "หัวโขน" คนก็เริ่มใส่เสื้อผ้าหรือใส่ชุด ที่คิดว่าเหมาะสมกับฐานะของตนเอง แสดงถึงความเป็น "เรา" เป็น "ฉัน" มีชุดนักเรียน ชุดนิสิต ชุดพยาบาล ชุดตำรวจ ชุดข้าราชการ ฯลฯ เกิดขึ้นมากมาย ด้วยวัตถุประสงค์เกินไปกว่า "คุณค่าแท้" ของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่ไม่ได้มีไว้ "เชยชม" แต่มีไว้ห่อลมบังแดดและปกปิดความอุจาดตา ป้องกันตัณหาราคะดิบของ "ทรชน" เพื่อความสุขของสังคมส่วนรวม
นอกจากจะสวม "หัวโขน" หลายอัน คนยังใส่เสื้อหลายตัว ทั้งเสื้อที่มองเห็นและมองไม่เห็น มนุษย์ทั่วไปส่วนใหญ่จะรู้ว่ากำลังใส่เสื้อตัวหลังนี้อยู่ ความไม่รู้ "ตัวเอง" นี่เองที่สร้างความขัดแย้งและปัญหามากมาย....
ผมชี้ให้นิสิตในกลุ่มเห็นว่า ทุกคนกำลังใส่เสื้อของ "คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์" หรือเรียกว่า "เสื้อคุณธรรม" ที่เรียกว่าพื้นฐาน หมายถึง หากไม่ใส่จะอยู่สังคมไม่ได้ เสื้อตัวแรกนี้ก็คือ "กฎหมาย" สำหรับผมที่มีศรัทธาทางพุทธศาสนาแล้ว เสื้อคุณธรรมตัวนี้ก็คือ ความดีตาม "ศีล ๕" นั่นเองครับ เมื่อไหร่ที่ไม่ใส่เสื้อ ไปฆ่าหรือทำร้ายคนอื่น ต้องไปอยู่แยกจากสังคม ในที่นี้คือ ติดคุกติดตาราง ซึ่งเป็นบทลงโทษของสังคม จนกว่าจะมีสิทธิ์ตามกติกาว่าจะได้สวมเสื้อนี้อีกและถูกปล่อยตัวออกมา การลักขโมย การละเมิดสิทธิ์ทางกาม การโกหกคอรัปชั่น ก็ถือเป็นการถอดเสื้อคุณธรรม ที่ต้องรับโทษทัณฑ์สักวันข้างหน้าแน่นอน ข้อควรระวังที่สำคัญคือ แม้จะไม่ตั้งใจถอดเสื้อตัวนี้ แต่หากดื่มสุราเมรัย ใจขาดสติครอง ก็อาจต้องรับโทษได้เช่นกัน เพราะท่านจะเผลอถอดเสื้อได้โดยไม่รู้ตัว ทางพุทธจึงห้ามข้อนี้ด้วย
มีนิสิตคนหนึ่งแสดงชัดว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมนำเสนอ เขาบอกว่า ผมเข้าใจแล้วว่า การใส่ชุดนิสิตก็เป็นการสวมเสื้อตัวหนึ่ง และการยึดว่าไม่ต้องใส่ชุดนิสิต ก็เป็นการสวมเสื้ออีกตัวหนึ่ง.... ถูกต้องแล้ว การยึดมั่นว่าต้องทำอย่างนี้เท่านั้น ไม่ใช่ทางที่จะทำให้พวกเขาเข้าใกล้ "อิสรภาพ" ได้เลย .... นั่นคือข้อสรุปเบื้องต้นว่า Free Uniform ไม่ได้ช่วยให้พวกเขา Free Spiritual ... เป็นเพียงการทิ้งสิ่งหนึ่ง ต่อต้านสิ่งหนึ่ง แล้วไปปล่อยให้ "ใจ" ไปยึดสิ่งใหม่ เท่านั้นเอง ....หากวิเคราะห์ดังนี้ คำตอบคือ "No"
เสื้อตัวที่ ๒ คือ "เสื้อสังคม" ในที่นี้ก็คือ เสื้อที่มาพร้อม "หัวโขน" ฐานะทางสังคม เช่น ชุดตำรวจ ชุดนิสิต ชุดข้าราชการ ฯลฯ เสื้อตัวนี้ เมื่อใส่แล้ว จะต้องปฏิบัติตนตาม "ระเบียบ กติกา" บางอย่าง ที่ถูกสร้างขึ้นจากสังคมนั้นๆ เพื่อความสุข สงบเรียบร้อยของส่วนรวม แม้บางปัจเจกชนหรือบุคคลใดจะไม่พึงใจปฏิบัติตาม ลุกขึ้นมาตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบให้ตนเอง (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี) เพราะยังไม่ได้คำตอบ จึงไม่ปฏิบัติตาม จึงส่งผลทันทีกับคนอื่นหรือส่วนรวม เกิด "กลุ่ม" ซึ่งหมายถึง "เหมือน" (คนใน "กลุ่ม" ย่อมมีความคิดอะไรบางอย่างเหมือนกัน)
การเปลี่ยนแปลง "กติกา" หรือ "ระเบียบ" หรือในที่นี้คือ เปลี่ยน "เสื้อสังคม" สามารถทำได้ ซึ่งย่อมมีแนวทางหรือกระบวนการปรับเปลี่ยนได้ ผู้ต้องการเปลี่ยนเสื้อตัวนี้ ควรศึกษาให้ดี และผมคิดว่าเขาจะพบว่ามีทางทำได้.... แต่อาจจะมีข้อแม้ว่าผู้เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจะต้องมีหัวใจประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม....
ผมพยายามตอบคำถามนิสิตทุกๆ คน ที่ตั้งความเห็นในประเด็นนี้อย่างหลากหลาย... ซึ่งหลายๆ ประเด็นย่อยไม่ตรงกับความเข้าใจของผม เช่น
มีนิสิตคนหนึ่งเสนอว่า ที่เราต้องมีชุดนิสิตแบบนี้ หรือมีวัฒนธรรมแบบนี้ ถือเป็น "บริบท" หรือ "วัฒนธรรม" ของเรา ซึ่งจะเอาไปเปรียบเทียบกับ "ต่างชาติ ปราชญ์ ตะวันตก" ไม่ได้ ... ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในประเด็นนี้ ผมใช้เวลาพอสมควรในการอธิบายความเข้าใจเรื่อง "บริบท" ของตนเองให้นิสิตฟัง
ผมเห็นพลังบางอย่างในกลุ่ม "แด่เธอผู้หนุ่มสาว" นี้ที่ผมไม่เคยเห็น ผมฝันว่า พลังนี้จะถูกใช้ไปในทางที่ถูกและเป็นประโยชน์ทั้งตัวพวกเขาเองและแด่สังคมของ"เธอผู้หนุ่มสาวอื่นๆ" ในวงกว้างต่อไป เลยถือโอกาสตอนท้าย สรุปให้พวกเขาฟังหลายอย่าง พอสรุปเป็น "หลัก" ในการเดินทางของพวกเขา ว่า...
ตอนท้ายๆ เราคุยกันเรื่องประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ และผมเองก็ยินดีที่จะสนับสนุนทุกวิธีที่ทำได้ ให้พวกเขาต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น
แต่วันนี้ โดยส่วนตัว ผมคิดว่า การ Free Uniform ไม่ได้ Free Spiritual ครับผม
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ฤทธิไกร
ธีรธรรม วงศ์สา..หรือพี่ท็อป..เป็น ไอดอล ของผมเลยครับในด้านของการเเต่งเพลง...
ผลงานที่ออกมาจากใจ จะบ่งบอกสภาพของใจในขณะนั้นด้วย .... ดังนั้น ถ้าต้องการผลงานที่ลึกซึ้งกินใจ จะต้อง ฝึกใจให้ ลึกซึ้งถึงธรรม เพราะธรรมชาติ คือธรรมดา ไร้ท่า ไร้กรอบ ไร้ที่ครอบ ไร้กระบวน....