ในวงสุนทรียสนทนา ร่วมกับคณาจารย์จากคณะศิลปกรรมศาสตร์
ทำให้ผมเข้าใจคำว่า "สุนทรียะ" กับ ซากสุนทรียะ
ประมาณว่า ตอนตวัดเส้นวาดภาพนั้น คือ สุนทรียะ
แต่เส้นที่วาดเสร็จไปแล้วนั้น เป็น ซากสุนทรียะ หนอ
ตอนเข้าไปก้มกราบพระอาจารย์ ได้ให้ข้อมูลท่านว่า
ธรรมที่ท่านให้ไว้ในครั้งก่อนนั้น ต้องใช้เวลาย่อยอยู่หลายเดือนกว่าจะเริ่มพอเข้าถึงได้บ้าง
ท่านบอกว่า ไม่ใช่อย่างนั้น! ไอ้นั่นมันเป็น "ซากสุนทรียะ"
หลังจากนั้นท่านก็ช่วยให้คณาจารย์ช่วยอธิบายให้ฟัง
ผมเข้าใจประมาณนี้ครับ
การกลับไปค่อย ๆ พิจารณาธรรมตามนั้น ยังเป็นระดับ "จินตามยปัญญา"
ซึ่งเป็น Reset เวอร์ชั่นเก่าของผม
แต่เวอร์ชั่นใหม่นี้ มีความเป็นพลวัตรแห่ง "สุนทรียะ" มากกว่านั้น
กล่าวคือ อยู่กับปัจจุบันขณะ สัมผัส "ความรู้สึก" ที่ผุดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ
อย่างต่อเนื่อง และ เป็นพลวัตรแห่งปัจจุบันขณะ
โดยไม่ส่งจิตไปในอดีตแห่งซากสุนทรียะ และ ไม่ต้องคิดปรุงแต่งไปในอนาคต
แต่อยู่กับสุนทรียะแห่งชีวิตในปัจจุบันขณะ หนอ
ความคิด ต้องอาศัย พยัญชนะ
แต่ความรู้สึก ไม่ต้องอาศัยพยัญชนะ ผุดเกิดและรับรู้ได้ในปัจจุบันขณะ
โดยไม่ต้องส่งไปคิด ก็ได้ หนอ
----------
ในทางทฤษฏี ก็คือ การออกจากความคิด หรือ การไม่คิดปรุงแต่งนั่นเอง
หรือ เป็นการไม่สร้างกรรมใหม่แต่รับสามารถรับรู้ความเป็นไปแห่งจิต ผ่านทางความรู้สึก
เมื่อฝึกจนชำนาญแล้วนั้น จะสามารถเห็นความเป็นไปแห่งจิตได้รวดเร็ว
และเมื่ออยู่กับปัจจุบันขณะ ก็ประหนึ่งว่า ไม่ปล่อยให้ความคิดก่อร่างสร้างตัว ออกดอก ออกผลได้ นั่นเอง หนอ
นี่หล่ะท่าน เรียกว่า ปัญญา แห่ง Reset ซึ่งเป็น ภาวนามยปัญญา นั่นเอง หนอ
..เห็นแล้ว..ก็ตื่น..และเบิกบาน...ดุจ..บัว...แล้ว..มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นะเจ้าคะ...(แอบคิด..ตามประสา..ยายธี)
สาธุ สาธุ ขอรับ