ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

เทวดาชวนสวดมนต์


เทวดาชวนสวดบทสวดเมตตาใหญ่     

                                                                   เรียบเรียงจากบันทึกการสนทนาธรรมและคำบอกเล่าจาก..พระธรรมสิงหบุราจารย์ ( หลวงพ่อจรัญ  ฐิตธมฺโม ).......
ขอน้อมกราบท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรทุกท่าน ขอความเจริญในธรรมจงตั้งมั่นในดวงจิตของท่านทุกเมื่อ...เทอญ....

 

ก่อนอื่นต้องขอบอกกล่าวกันเสียก่อนว่า ตั้งแต่เริ่มเข้าปีใหม่ ๒๕๕๗  อีตาลุงเหมยไมได้พักผ่อนเลย เพราะต้องไปร่วมภารกิจนิมนต์กับหลวงพี่ที่วัด ถามว่าเหนื่อยไหม ไม่คิดถึงกันเลยหรือ ต้องตอบว่า เหนื่อยและคิดถึงกันอยู่ตลอดเวลาวันนี้พอมีเวลาว่างก็รีบบันทึกถึงพวกเราเลย....ตามที่ได้เกริ่นไว้ว่าเป็นบันทึกเก่า ๆ ในอดีตที่ผ่านมาว่า...ครั้งหนึ่งเคยไปคารวะหลวงปู่ท่าน...ท่านได้เมตตาเจริญพรว่า....มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อ แม่ชีทองก้อน  ปานเณร แม่ชีคนนี้เคยไปปฏิบัติธรรมมาหลายสำนัก วันหนึ่งก็มาขออยู่ที่วัดของหลวงปู่ท่าน หลวงปู่ก็บอกว่า " โยม วัดนี้ไม่มีสำนักชี และก็ไม่มีกุฏิชีอยู่ แต่ถ้าโยมไม่กลัวผี ก็อยู่ห้องว่างบนศาลา มีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่ง "  แม่ชีก็ตกลงอยู่บนศาลา ....... หลวงปู่ให้เดินจงกรม และนั่งปฏิบัติภาวนา หนึ่งเดือนผ่านไป โยมแม่ชีก็มาบอกหลวงปู่ว่า " หลวงปู่ ฉันจะลำบากเสียแล้ว "  หลวงปู่ถามว่า " ลำบากนี่เรื่องอะไร " แม่ชีบอกว่า " เทวดามารบกวน " หลวงปู่ก็ถามต่อไปอีกว่า " เทวดามารบกวนเรื่องอะไร " แม่ชีบอกว่า
" เทวดามาชวนสวดมนต์ " หลวงปู่บอกให้ถามเทวดาดูซิว่า " เทวดาอยู่ที่ไหน และมาชวนให้สวดมนต์บทอะไร "  แม่ชีก็ถามเทวดาตามที่หลวงปู่บอก เทวดาบอกแม่ชีว่า มาอยู่ที่ต้นพิกุลข้างโบสถ์ เพราะโดนสาปมาจากสรวงสวรรค์ จึงถูกทำโทษเพราะมันผิดประเวณีนางฟ้า จึงโดนสาปแล้วให้มาสถิตที่ต้านพิกุลเป็นเวลา ๑๐๐ ปี จากนั้นก็บอกให้สวดมนต์บทเมตตาใหญ่ หลวงปู่ถามแม่ชีอีกว่า "  มาชวนสวดมนต์เวลาไหน " แม่ชีก็บอกว่า "  มาชวนสวดมนต์เวลา ๒๔.๐๐  น. เทวดาจะมาเฝ้าพระพุทธเจ้า "  เทวดายังบอกเคล็ดลับอีกว่า ถ้าหากบ้านไหนมีเครื่องสักการะ บูชาพระพุทธรูป เปรียบเสมือนเป็นประติมากรรมแทนองค์พระพุทธเจ้าแล้ว และสวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ เทวดาก็จะมาสถิต เรียกว่า " เทพสถิต " แต่ถ้าบ้านไหนไม่มีเครื่องสักการะบูชา ไม่สวดมนต์ไหว้พระ ก็เหมือนกับว่าไม่มีเทวดามาสถิต แล้วเทวดาก็บอกอีกว่า...บ้านไหนเอาใจใส่สวดมนต์ไหว้พระ จะมีเทวดามาร่วมสวดมนต์ด้วย บ้านนั้นจะมีเทวดาไปอยู่รักษาคุ้มครองทั้งครอบครัว และก็ยังบอกอีกว่า...คนเรามีเทวดาประจำวันเกิดกันทุกคน ถ้าเทวดาวันเกิดออกไปเมื่อใด มักจะถึงความตาย ถ้าหากเทวดาองค์ต่อไปไม่รักษา ........... แม่ชีทองก้อนก็สวดมนต์ตามที่เทวดามาบอกจนเวลาผ่านไป  ๑  ปี  ก็มีความชำนาญจนสามารถพูดคุยกับเทวดาได้อย่างมีความคุ้นเคย และสามารถรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทั้ง ๆ ที่เแม่ชีทองก้อนท่องอ่านหนังสือไม่ออกเลย ...... วันหนึ่งหลวงปู่ท่านให้แม่ชีทองก้อนสวดมนต์ให้ฟัง หลวงปู่ก็ไม่แน่ใจก็จึงให้โยมไปเสาะซื้อหาหนังสือแถวเสาชิงช้า ถามหา บทสวดมนต์เมตตาใหญ่  คนขายก็บอกว่า ไม่มี หลวงปู่จึงเดินทางไปหาพระครูปลัดแห่ง วัดสุทัศนเทพวราราม ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคุณแล้ว ท่านพระคูปลัดก็ให้ยืมหนังสือ พุทธาภิเษก ฉบับสมเด็จพระสังฆราช (แพ ) ค้นหาดูก็พบอยูที่บทต่อท้ายมหาพุทธาภิเษกนั่นเอง .......

ต่อมาเช้าวันหนึ่ง ต้านพิกุลเทพสถิตก็โค่นลงอย่างสั่นหวั่นไหวโดยไม่มีลมพายุเลย หลวงปู่ก็ไปเปิดสมุดบันทึกดูเหตุการณ์ทั้งหมด ก็พบว่าต้นพิกุลต้นนี้มีอายุครบ ๑๐๐  ปี ที่เทวดาโดนสาปมาจากสวรรค์ และภายหลังแม่ชีทองก้อนก็มีสำนักชีอยู่ และแม่ชีก็ยังยืนยันก่อนตายว่า...เป็นความจริงที่ยังใช้ได้ที่เทวดาจะไปร่วมสวดมนต์ตามบ้านในเวลา ๒๔.๐๐  น.  เทวดาก็ยังบอกต่อไปอีกว่า บ้านไหนมีเครื่องสักการะบูชาไม่สะอาด และตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระ มีคนนอนเกะกะอยู่ เทวดาไม่เข้าไปร่วมสวดมนต์แน่นอน ถ้าบ้านไหนหมั่นสวดมนต์ เทวดาก็จะมาร่วมสวดมนต์ทุกคืนและคุ้มครองรักษา

          การสวดมนต์จะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวเรา  กล่าวคือ

          ๑.  ผู้สวดต้องมีศรัทธา    คือความเชื่อมั่นต่อคุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเชื่อมั่นว่า การสวดมนต์บทมหาเมตตาหลวงนี้ จะนำไปสู่การตัดเวรกรรมได้จริง

          ๒.  ต้องมีวิริยะ   คือความเพียร มุ่งมั่นสวดด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ ไม่ทำด้วยความเกียจคร้าน

          ๓.  ต้องมีสติ  คือความตื่นตัว รู้ตัว อยู่ทุกขณะที่สวด พยายามประคับประคองจิตให้อยู่กับบทสวดในทุกขณะ

          ๔.   ต้องมีสมาธิ  คือพยายามรักษาจิตให้จดจ่ออยู่กับบทสวดอย่างต่เนื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เปลอไผลให้เรื่องอื่นเข้ามาแทรกแซง

          ๕.  ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไปตามบทสวด  ให้รู้ว่าแต่ละศัพท์ แต่ละเนื้อความนั้นว่าด้วยเรื่องอะไร สามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์อย่างไร

          บทสวดเมตตาหลวงนี้ พระพุทธเจ้าตรัสมอบให้ภิกษุ สำหรับสวดบริกรรม เพื่อเป็นอุบายย้อมจิตให้คุ้นชินกับความมีเมตตา จิตที่มีเมตตา จะเป็นจิตที่อ่อนโยน เยือกเย็น ยิ่งเมื่อได้สวดบ่อย ๆ ทุกวัน ๆ จิตก็ยิ่งอ่อนโยน จิตอ่อนโยนมาก ๆ พลังแห่งเมตตาก็จะผลักดันกิเลสฝ่ายโทสะที่อยู่ในใจให้ถอยห่างออกไป ยิ่งเจริญเมตตามาก ๆ โทสะยิ่งลดน้อยลง ใจก็ปลอดโปร่งมากขึ้น...พลังแห่งเมตตาเหมือนน้ำที่ฉ่ำเย็น เมื่อเราส่งไปสัมผัสกับผู้ใด เขาก็จะรู้สึกถึงความฉ่ำเย็น ซึ่งมีผลทำให้จิตใจของผู้นั้นสงบเย็นด้วย และถ้าหากว่าเราส่งจิตเมตตานี้ให้แก่เจ้ากรรม นายเวร แล้วไซร้ เขาจะสัมผัสรับรู้ถึงความปรารถนาดี ความสงบเย็น ความเป็นมิตรของเรา ซึ่งมีผลทำให้ความอาฆาตแค้นในใจของเขาลดน้อยลง และพร้อมที่จะให้อภัยแก่เรา เมื่อเขายอมให้อภัย เวรกรรมระหว่าเขากับเราก็จะสิ้นสุดลง

          วันนี้..อีตาลุงเหมย ขอยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรทุกท่านต่อไปก็จะมาว่าถึงการแผ่เมตตาใหญ่มีหลายแบบ หลายชื่อเรียก ตลอดถึงลำดับการสวดคาถามหาเมตตาใหญ่ต่อไป อดใจรอก่อนนะครับ....สาธุครับ...

                                        

 

หมายเลขบันทึก: 560838เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014 11:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014 11:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ เทวดาก็จะมาสถิต เรียกว่า " เทพสถิต " ...ขอบคุณค่ะลุงเหมย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท