.
.
ศ.นพ.รอบเบิร์ท เอช. ลัสทิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่อมไร้ท่อในเด็ก และคณะ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ อธิบายว่า ปัจจัยพื้นฐานสำคัญของโรคอ้วนไม่ได้มาจากการกินมาก (แคลอรี หรือกำลังงานจากอาหารเกินเพียงอย่างเดียว)
วิดีโอชุดนี้มีคนชมทางยูทูบแล้วอย่างน้อย 4.2 ล้านครั้งแล้ว นี่ยังไม่นับที่ชมทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แสดงว่า คนทั่วโลกสนใจกันมาก
ช่วงปี 1985-2010/2528-2553 = 25 ปี, คนทั่วโลก...
.
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่อ้วนขึ้นมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยมีแกนกลาง (core) อยู่ที่ 6 ปัจจัยใหญ่ๆ ได้แก่
.
(1). น้ำตาล
ธัญพืชขัดสีอันตรายมากกว่าธัญพืชไม่ขัดสี
ถ้าอยากลดความอ้วน, ควรลดน้ำตาลด้วย ลด "ของขาวๆ" = ข้าวขาว ขนมปังขาว แป้งขาว (อาหารทำจากแป้งขัดสี เช่น โรตี ฯลฯ) ไปพร้อมๆ กัน
.
(2). ฟรัคโทส (น้ำตาลผลไม้ น้ำตาลสกัดจากข้าวโพด)
น้ำตาลฟรัคโทส ทำให้ตับต้องทำงานหนัก...
หนักจนมีการพบว่า โรงงานสร้างพลังงานในตับที่เรียกว่า "ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)" ทำงานเกินกำลัง ป่วย ปล่อยสารพิษออกมา เช่น อนุมูลอิสระรั่ว ฯลฯ ไปทำร้ายเซลล์ตับ
เปรียบคล้ายโรงไฟฟ้าแก่ๆ เก่าๆ ที่เร่งปั่นไฟ... เอาเชื้อเพลงใส่เข้าไปมากๆ จนเกิดควัน เกิดสารพิษออกมามาก
ฟรัคโทสเพิ่มเสี่ยงไขมันเกาะตับ ไขมันแบบอ้วนลงพุง ทำให้ตับเกิดการอักเสบเรื้อรังได้
ภาวะไขมันเกาะตับ ทำร้ายตับได้คล้ายการกินเหล้า = เปลี่ยนตับจาก "ตับเมาเหล้า" เป็น"ตับเมาน้ำตาล"
.
(3). โรคนั่งนาน
การนั่งหรือนอนนิ่งๆ นานเกิน 1 ชั่วโมง/ครั้ง ทำให้การเผาผลาญสารอาหารลดลงอย่างรวดเร็ว เสี่ยงน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน และอ้วนลงพุง
.
(4). กลุ่มอาการ "กินขาดสติ_กินไม่อิ่ม"
(5). ลูกที่เกิดจากคุณแม่ที่มีน้ำหนักขึ้นมากเกิน (มากเกินเกณฑ์) ระหว่างตั้งครรภ์ คล้ายๆ กับคนที่เป็นเบาหวานอย่างแรง หรืออย่างอ่อนตอนตั้งครรภ์ มีแนวโน้มจะ "กินเก่งมากผิดปกติ"
(6). ยิ่งเครียด ยิ่งหิว
ไขมันอ้วนลงพุง หรือไขมันสะสมในช่องท้อง_หลังช่องท้อง_ใต้ผิวหนังตรงพุงรวมกัน = อันตรายจากไขมันใต้ผิวหนัง
เนื่องจากไขมันอ้วนลงพุงปล่อยสารก่อการอักเสบ หรือสารก่อการร้าย เพิ่มเสี่ยงภาวะ "แก่เกินวัย" จากภายใน
ปี 2009-2010/2554-2553 มีการค้นพบทางสถิติว่า คนอเมริกันมีอายุขัยเฉลี่ย "ลดลง" เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
และเป็นผลจากโรคไม่ติดเชื้อโดยเฉพาะกลุ่มอาการอ้วนลงพุง หรือกลุ่มอาการเมทาโบลิค
ทีนี้... ยุทธศาสตร์ในการลดความอ้วนที่น่าจะดีคืออะไร
อาจารย์ท่านเน้นว่า
(1). ทำใจ
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กำลังทำการวิจัยใหญ่ คือ ทำอย่างไรคนเราจะกินอย่าง "มีสติ (mindful eating)" ได้
วิธีที่พบว่า ได้ผลค่อนข้างดีตอนนี้ คือ ต่อรอง (bargain) แบบ "อาหารจานเดียว"
และขอเป็น "จานน้อยๆ หน่อย" หรือจานไม่ใหญ่มาก
ศ.แวนซิงค์วิจัยมาแล้วว่า ยิ่งกินจานใหญ่ ยิ่งอ้วน
.
.
.
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า สมองคนเราจะรู้สึกอิ่มหลังเวลาผ่านไป 20 นาที
ถ้าเราต่อรอง ยืดเวลาไปอีกหน่อย... ความอยากมีแนวโน้มจะลดลง
เรื่องนี้คล้ายๆ กับการซื้อของ หรือช็อปปิ้ง
ถ้ารีบซื้อทันที... จะเสี่ยงโรคทรัพย์จาง
.
ถ้ารอให้ใจมันเย็นลง เบาลง... รอให้ได้ 7 วัน
7 วันผ่านไป, ความอยากมักจะลดลง...
ดีไม่ดี เลยไม่ซื้อเลย (ประหยัดไปแยะ มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเพียบ)
.
(2). เพิ่มเส้นใย หรือไฟเบอร์
.
.
(3). ลดอาหารทอด
.
(4). เพิ่มน้ำ "เป_ล่า"
ถ้าอยากกินกาแฟ
.
(5). อย่าไปงานเลี้ยง
ประสบการณ์ในคนไข้เบาหวานพบว่า ยิ่งไปงาน น้ำตาลในเลือดยิ่งสูง
.
(6). ลดอาหารนอกบ้าน
ถ้าทำกับข้าวไม่เป็น...
.
(6). อย่านั่งนาน
.
.
.
(7). อย่าเดินช้า
.
อาจารย์ท่านกล่าวว่า โรคอ้วน+อ้วนลงพุง (กลุ่มอาการเมทาโบลิค) มีผลต่อค่าใช้จ่ายสุขภาพในสหรัฐฯ = 75%
ความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติของประเทศทั่วโลกในอนาคตจะขึ้นกับสุขภาพคนในชาติมาก
คือ คนในชาติที่แข็งแรงกว่า มีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า
ประสบการณ์ทั่วโลกพบเช่นกันว่า ประเทศที่จะก้าวไปได้ไกลจริงๆ (จนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว)
.
เป็นประเทศกลุ่มประชาธิปไตยทั้งนั้น
.
ประเทศกลุ่มยุโรปใต้พ่ายแพ้ยุโรปกลาง-ยุโรปเหนือ
ตรงที่ปกครองแบบเผด็จการนานกว่า
เป็นประชาธิปไตยช้ากว่า
ขอให้เหตุการณ์ร้ายๆ ในไทย ผ่านพ้นไป โดยทุกคนทุกฝ่ายเดือดร้อนน้อยที่สุด
.
ขอความสงบ ความสุข สันติ สติ สตางค์ (เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ลงทุน ฯลฯ) โปรดกลับสู่ประเทศไทยด่วน
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ
.
Thank U California & UCTV > http://www.uctv.tv/shows/The-Complete-Skinny-on-Obesity-25717 & http://www.youtube.com/watch?v=h0zD1gj0pXk&feature=share&list=PLB9BC165392E146AC&index=9
ไม่มีความเห็น