"ปีเก่าผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า แล้วก็มาถึงวันดีขึ้นปีใหม่
ความทุกข์ตรงขมขื่นจรจากไป หวังสิ่งดีใหม่ใหม่ที่เยือนมา
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออัญเชิญเทพไททุกทิศา
มาชุมนุมรวมพลังด้วยศรัทธา พร้อมทั้งพากันช่วยอำนวยพร
ให้สุขศรีชีวีมีแต่สุข อันความทุกข์แม้เพียงน้อยอย่ามาหลอน
ให้ทรัพย์สินพูนเพิ่มสถาพร เกียรติกำจรเลื่องระบือลือไปไกล
ประกอบกิจการใดให้เรืองโรจน์ ให้ช่วงโชติดังแสงทองอันผ่องใส
ให้แข็งแกร่งแรงพลังทั้งกายใจ ให้โชคชัยไหลหลั่งประดังมา
อุปสรรคใดใดให้ผ่านพ้น จงเปี่ยมล้นด้วยอำนาจวาสนา
ประสบสุขทุกสถาานสุดพรรณา ให้สมดังปรารถนาทั้งปีเทอญ"
เมื่อปีก่อนโน้น ผมนำเงินเหรียญที่เก็บใส่กระปุกมานับและคิดว่าจะนำเงินเหรียญนี้ไปทำอะไรดี ขอบอกว่าเงินเหรียญนี้เป็นเงินที่ได้จากการเดินทางไปทำงานแล้วจ่ายค่ารถ ค่าเรือ เป็นเงินทอนจากแม่ค้าต่าง ๆ พอกลับมาถึงบ้านก็ใส่กระปุกรวมไว้ ซึ่งคราวนั้นนับได้ก็พันกว่าบาท และเมื่อนับเสร็จก็คิดได้ว่า นำเงินส่วนนี้ไปทำบุญดีกว่า แต่จะทำบุญอะไร อย่างไรดี ก็คิดได้ว่า วันคล้ายวันเกิดของแม่ยังไม่รู้จะหาอะไรเป็นของตอบแทนพระคุณแม่เลย จึงนำเงินที่ได้ไปบอกแม่ว่า เงินที่นับได้เท่าไร จะเอาไปทำบุญกับมูลนิธิศิริราช ซึ่งจะนำเงินบริจาคนี้ไปใช้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ ทำบุญในชื่อแม่ ให้แม่อนุโมทนา ยินดี และอิ่มใจกับบุญหรือความสุขที่ลูกจะทำให้ แม่ก็รับทราบและยินดีด้วย (ยินดีเสมอที่ลูกทำให้แม่สบายใจ)
จากปีนั้นมาถึงปีนี้ แม่ก็จะได้รับคำอวยพรเป็นกลอนไพเราะ จากศิริราชมูลนิธิเสมอ สำหรับปีนี้ ก็เป็นคำกลอนอวยพรปีใหม่ที่มีคุณค่าควรแก่การจดจำและอิ่มใจ พร้อมกับปฏิทินใบเล็ก ๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณค่ายิ่ง
ผมบันทึกภาพเก็บไว้ แล้วนำกลอนและปฏิทินไปให้แม่อ่าน และเก็บไว้ แม่ยิ้มดีใจ แค่นี้ผมก็สุขใจแล้ว อย่างนี้แหละที่ผมเรียกว่าบุญเกิดให้เห็นได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจในชาตินี้ ผมรับรู้แล้ว ส่วนชาติหน้าจะเป็นอย่างไรผมไม่อาจทราบได้ จริง ๆ
กราบขอบพระคุณ ศิริราชมูลนิธิ นะครับที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มกับบุญที่ตั้งใจทำครับและฝากพรดีดีนี้ถึงทุกคนร่วมกันอิ่มเอมใจด้วยกันนะครับ
ขอบคุณค่ะ...เป็นคำกลอนอวยพรปีใหม่ที่มีคุณค่าควรแก่การจดจำและอิ่มใจ นะคะ