"๒๐เรื่อง..ที่คนเมืองเมา" (๑)


                

                         ภาพจากwww.guitarthai.com

               สมัยเด็ก..เด็กชนบทอย่างเราไม่มีโอกาสได้เห็นกรุงเทพฯ ได้ยินแต่ผู้คนพรรณนาว่า สวยงาม เมืองสวรรค์ มีไฟแสงสี ตึกสูง รถมาก ฯ ทำให้อยากเห็นบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญญาไป..เราอยู่บ้านนอกสมัยนั้น ไม่ได้ใช้ตังค์เป็นกิจจะลักษณะเลย แต่นั่นคือ อดีตเมื่อ ๓๐-๔๐ ปี

                พอโตขึ้นมาก็ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ก็เห็นเป็นประจักษ์เช่นเขาพูดกัน ความสวยงาม ตึกรามบ้านช่อง สิ่งแวดล้อม ฯ เป็นแค่ภาพประกอบที่ผู้คนเหมาทางสายตาว่า สวยงาม เพราะมีไฟ มีแสงสี ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน.. สิ่งที่มีเสน่ห์ มีนัย มีความหมาย มีสีสันคือ มนุษย์ผู้ที่อาศัยในเมืองนั่นเอง

                "คนเมือง"  หมายถึง คนที่อาศัยในชุมชนจำนวนมาก จนกลายเป็นสังคมหนึ่ง ในที่นี่ คือ "คนกรุงเทพฯ" คนเมือง เป็นกลุ่มชุมชนที่อยู่กันอย่างแออัดในที่แห่งหนึ่ง ที่มีกิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปตามแรงต้องการ ที่มีอิทธิพลต่อประชาชน ทั้งคนในเมืองและชนบท จนกลายเป็นหัวหอก นำร่องในการสร้างกระแสสังคม กลายเป็นแหล่งสร้างธนกรรม จนรู้กันว่า เมืองกรุงคือ แหล่งหางาน หาเงิน

                 เมืองจึงกลายเป็นแหล่งแสวงหาทรัพย์ แล้วนำทรัพย์ไปใช้ซื้อสิ่งต่างๆ ที่ตนเองต้องการ จากนั้นก็เสพสุขจากทรัพย์อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นมนุษย์ที่พึ่งพาทรัพย์  คนกรุงดำเนินชีวิตด้วยทรัพยากรด้านวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างขาดไม่ได้ กลายเป็นคนติด คนเมา คนลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ จนปฏิเสธมันไม่ได้ กลายเป็นสังคมเมามัวในรั้วรัศมีของเขตเมืองของตน จึงจมดิ่งในเมืองใต้ค่านิยมร่วมกัน

                 ส่วนหนึ่งเพราะวิถีการดำรงชีวิต ที่อยู่ร่วมกันเป็นปัจจัยให้เกิดการผสมแรงกระตุ้นต่อกิจกรรมร่วมกัน จนกระเพื่อมไปถึงสังคมประเทศ ดังนั้น กระแสสังคมคนเมืองจึงมีรูปแบบที่เป็นชนวนให้เกิดนำพาหรือเป็นต้นแบบ แห่งความปรารถนาของมนุษย์ ที่สะท้อนออกมาอย่างแท้จริง เหมือนสัตว์จำนวนมากเมื่อมีชีวิตในป่า ในทุ่งที่อยู่กันอย่างแออัด ที่แสดงความต้องการออกมาอย่างบ้าบิ่น ไม่เกรงกลัวต่อชีวิต ซึ่งนั่นเป็นการสร้างความเข้มแข็งหรือการคัดสรรอย่างหนึ่ง เพื่อให้สัตว์รอดได้ 

                 แต่สัตว์นั้น มีเป้าประสงค์อย่างบริสุทธิ์ตามสัญชาตญาณ และใช้สัญชาตญาณนำพา แต่มนุษย์อยู่กันอย่างแออัด ใช้ความมัวเมา ใช้ความลุ่มหลง แข่งขัน ชิงดี ชิงรอด เพื่อให้ตนเองอยู่รอด การอยู่รอดของตนนั้น มาจากความอ่อนแอของคนอื่น ในฐานะมนุษย์เราต้องมีจิตสำนึกร่วมกันว่า เรารอด แต่คนอื่นลำบาก แล้วเราก้เสพสุขอย่างไร้ความเมตตา ปราณีต่อคนอื่น จึงทำให้สังคมคนเมืองกลายเป็นแบบจิตเชิงเดี่ยว และลุ่มหลงสิ่งต่างๆ อย่างลืมตัว ลืมวันตาย สิ่งที่ผู้คนเมืองลุ่มหลง มัวเมา พอประมวลได้ดังนี้

                ๑) "วัตถุนิยม" หมายถึง การคลั่งไคล้ ใจปัก รักชอบสิ่งของที่ถูกผลิตมา เพื่อตอบสนองมนุษย์ ส่วนมากเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวัน แต่คนที่ซื้อหา แสวงหามา เพียงเพื่อชื่นชม ชอบใจ เป็นค่านิยมฟุ่มเฟือย ประดับปารมี หรือชอบของมีแบรนด์ ถือว่า "เมาวัตถุ"

                ๒) "บริโภคนิยม" หมายถึง การใช้สอยทรัพยากรไม่รู้จักคุณค่าจริงๆ คนเมืองชอบช๊อบ ชอบซื้อสิ่งของ เครื่องใช้ ที่เกินความจำเป็นต่อการดำรงชีพ กลายเป็นบริโภคแบบฟุ่มเฟือยเช่นกัน กินเกินความจำเป็นร่างกายที่จะใช้พลังงาน จนห้องบ้านเต็มไปหมดนี่ก็ "เมากิน"

               ๓) "สังคมนิยม" หมายถึง การคลุกคลี การติดต่อสื่อสาร การสังสรรค์ การเข้าร่วมเพื่อนฝูง ไปกิน ไปเที่ยว เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นสังคม กลายเป็นแบบอย่างให้ปัจเจกบุคคล เพื่อเอาเยี่ยงอย่าง ถ้าสังคมนั้น กลุ่มนั้น พาไปในที่ดีก็น่าไป แต่ถ้าสังคมนั้นพาไปในทางทำลาย ละเมิดกฎหมาย บ้านเมือง ศีลธรรม นี่ถือว่า "เมาสังคม"

               ๔) "กิจนิยม" หมายถึง การทำงาน กิจกรรม ที่มุ่งมั่น สร้างสรรค์ และไม่สร้างสรรค์ มีกิจการ มีงานทำ มีธุรมากมาย จนไม่ีมีเวลาพักผ่อน หลับนอน เพราะต้องวิ่งรอก วิ่งล่า หาเงินหางาน จนอาจทำให้สุขภาพย่ำแย่ตามมาได้  เราจึงพูดอยู่เสมอว่า ไม่มีเวลา นี่คือ พวกที่ถือว่า "เมางาน"

              ๕) "กามนิยม" หมายถึง การหมกมุ่นในเรื่องกามคุณ ความรัก พิศวาท ราคะ ตัณหากามารมณ์ ไม่รู้จักจบสิ้น โดยเฉพาะในเมือง เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม ต่อครอบครัว และกลายเป็นปัญหาสังคมมากมาย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ นักธุรกิจ ฯ ล้วนอยู่ในวังวนของโลกียทุกข์ทั้งนั้น ถือว่าเป็นพวก "เมากาม"

              ๖) "วิทยานิยม" หมายถึง การแสวงหาความรู้ วิทยาการ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ตั้งแต่เด็กที่ต้องเรียน ศึกษาหาความรู้ใส่ตน ทั้งเรียนในโรงเรียน ทั้งสถาบันต่างๆ สอนพิเศษ ติวพิเศษ ฯ ผู้ใหญ่ก็ใฝ่หาความรู้ใหม่ใส่ตน เรียนรู้ไม่หยุด เป็นโลกแห่งการศึกษาไม่รู้จบ คนในเมืองจึงต้องรู้สังคม รู้โลกตลอดเวลา เรียกว่า "เมาวิทยาการ"

              ๗) "มายานิยม" หมายถึง การแสดงออก การพบปะพูดคุยกัน การสื่อสารกัน การติดต่อกัน การทำงานร่วมกัน ฯ ล้วนมีมายาคติแอบแฝงทั้งสิ้น ไม่เราก็เขา ยิ่งสังคมปัจจุบัน ขาดความจริงใจ ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน หวาดระแวงกัน เกิดข้อสงสัยซึ่งกันและกันว่า ตัวตนแท้จริงหรือไม่ จึงต้องตั้งหลักเบี่ยงเบน ลวงไปก่อน คนกรุงจึงดูยากว่า ใครจะจริงใจต่อกัน กลายเป็น "เมามายา"

               ๘) "โมเดินนิยม" หมายถึง การแสดงออกที่ทันยุค ทันสมัย ตามโลกให้ทัน ตามสังคมให้รู้ ต้องเป็นคนเดิ่นเสมอ ความแปลกใหม่ ความทันสมัย จึงปรากฎในหมู่นักร้อง ดารา ไม่ว่า แต่งตัว เสื้อผ้า หน้าผม ต้องอินเทรนด์ นำสมัยเสมอ นี่คือพวก "เมายุค"

               ๙) "สุขนิยม" หมายถึง ความปรารถนาแห่งยอด ความต้องการของมนุษย์ ความสุขของคนเมืองได้มาจากการเสพวัตถุสิ่งของ การหมกหมักอยู่ในการอยู่ การกิน การเที่ยว การแสวงหาความสุขในตน เนื่องจากทำงานหนักทุกวัน นัยว่า ให้รางวัลแก่ตนเอง ชีวิตในแต่ละวันก็มีแค่คำนี้ คอยปลอบโยนใจตนเอง กลายเป็นสาวกของพวกจารวากไป เรียกว่า "เมาสุข"

               ๑๐) "อำนาจนิยม" หมายถึง การแสวงหาอำนาจบาตรใหญ่ อยากเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ อยากเป็นใหญ่ โดยมุ่งมั่นไต่เต้า ไปตั้งแต่การเรียน การทำงาน การเลื่อนชั้น เป็นหัวหน้า ผู้นำกลุ่ม คณะ สังคม ประเทศ จนครองอยู่ในอำนาจนั้น ชีวิตข้าราชการ คนทำงาน มีเส้นทางไปตามสายนี้ สุดท้ายก็ไปเมาใน "ยศตำแหน่ง"

               การเมาดังที่กล่าวนี้ เป็นลักษณะของคนที่อยู่ในเมือง โดยไม่รู้ตัว และไม่ยอมรับว่า "เมา" เพราะสังคมเป็นเช่นนี้ ก็ไหลไปตามกระแส การไม่ไหลไปตามกระแส ยังรู้จักยับยั้งชั่งใจตน ไม่ถือว่าเมา แต่อาจมึนได้ เพราะยังรู้ทันสังคมและตัวเองอยู่  ถือว่าเป็นปลาเป็น มิใช่เป็นปลาตาย ยังมีอีก ๑๐ ลักษณะในตอน ๒ ติดตามต่อไป

---------------<>--------------------

คำสำคัญ (Tags): #เมือง#เมา
หมายเลขบันทึก: 558607เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2014 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม 2014 10:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

..คนเมือง..เมา..อากาศ..ด้วย..อ้ะะ...ถูกลมด้วยแก้สทุกวัน..ที่นับไม่ถ้วน..ด้วย..อ้ะะ...

..... ขอบคุณค่ะ ในการช่วยรณรงค์ ...นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท