พุทธปรัชญาการศึกษา
ในทรรศนะศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
ความหมายการศึกษาในทรรศนะศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้กล่าวถึงความหมายของการศึกษาว่า การศึกษา คือความเจริญงอกงาม โดยเป็นการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนงอกงาม[๑] หรือหมายถึงการศึกษาเพื่อการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า การพัฒนาขันธ์ ๕ ซึ่งมีอกุศลมูลอยู่ จะได้ลดน้อยถอยไป และได้บรรลุถึงชีวิตที่ร่มเย็นตามควรแก่กรณี[๒]
จากความหมายของการศึกษาดังกล่าวพบว่า คำว่าการศึกษานั้นเป็นการอธิบาย ในเชิงการมุ่งการพัฒนาผู้เรียนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีงาม พัฒนาทั้งทางร่างกายที่เป็นรูปธรรม และจิตใจที่เป็นนามธรรม ควบคู่กัน ขณะเดียวกันก็เห็นว่าอกุศลมูลเป็นตัวขัดขวางที่สำคัญ
จุดมุ่งหมายการศึกษาในทรรศนะของศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา ตามแนวพุทธปรัชญาว่า มี ๔ ประการดังนี้ คือ
๑. ความมุ่งหมายเกี่ยวกับตัวผู้เรียนเนื่องจากผู้เรียนมีร่างกายมีความรู้สึกมีความจำ มีลักษณะอื่นๆของจิตใจ และมีความรู้อยู่บ้างแล้ว แต่ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ ดังนั้นการศึกษาจะต้องไม่มุ่งพัฒนาโลภ โกรธ หลง ให้ลดลง
๒. ความมุ่งหมายที่เกี่ยวกับสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่ผู้คนเคารพนับถือกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และนิยมการใช้ปัญญาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ พุทธปรัชญาได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ เราก็จะเข้าใจสังคมได้ดีขึ้นมีความรัก ความเคารพ และไม่ตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่สามารถควบคุมดูแลให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประโยชน์
๓. ความมุ่งหมายเกี่ยวกับลักษณะของการเรียนรู้ การศึกษาต้องพัฒนาวิธีคิดและการใช้เหตุผลในตัวผู้เรียน เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างผู้มีปัญญา
๔. ความมุ่งหมายเกี่ยวกับความร่มเย็นของชีวิตมนุษย์ทั่วๆไป การศึกษาต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมและมีศีลธรรม เพื่อให้เกิดความร่มเย็นแก่ชีวิตในสังคม
จากทรรศนะของดร.สาโรช บัวศรี เสนอให้มีการนำพุทธปรัชญามาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา ความมุ่งหมายของการศึกษาจึงควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับความมีอิสระครอบคลุมทั้งบุคลากรทางการศึกษาและผู้เรียน ซึ่งการศึกษานั้นไม่เพียงแต่สิ้นสุดลงเมื่อออกจากห้องเรียนแล้วเท่านั้นแต่การศึกษาของแต่ละคนนั้นจะต้องดำเนินไปตลอดชีวิต[๓]
อย่างไรก็ตามจะพบว่าศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้เน้นถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษาเพื่อการพัฒนาร่างกาย จิตใจ ปัญญาและจิตสาธารณะ อย่างมีอิสรเสรีของผู้เรียน พัฒนาผู้เรียนให้มีสติปัญญาดี มีกิเลสน้อยลง พัฒนาสังคมคือให้สังคมอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พัฒนาการเรียนรู้คือต้องเป็นการพัฒนาวิธีการคิดให้เป็นการบูรณาการสิ่งที่การศึกษาของสังคม โดยการนำหลักธรรมทางพุทธปรัชญามาบูรณาการ เติมเต็มส่วนที่ขาดแก่การศึกษา
สถานที่เรียนในทรรศนะศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี ได้กล่าวถึง การศึกษาที่ต้องพึ่งพาการมีส่วนร่วมของชุมชน หรือระหว่างผู้เรียนต่อกัน สถานที่จึงเป็นเพียงการเตรียมประสบการณ์สองอย่าง คือ ตัวเราเอง และสิ่งแวดล้อม[๔] การเรียนรู้ต้องอาศัยทั้งสองอย่างนี้จึงสามารถให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะประสบการณ์ของแต่ละคนที่เจอนั้น มีความแตกต่างกันออกไป การเรียนรู้ที่ผ่านทั้ง สอง อย่างนี้ย่อมช่วยผู้เรียนได้เกิดทักษะความรู้ด้วยตนเอง ท่านแบ่งประสบการณ์ออกเป็น ๓ อย่าง คือ ความรู้ ทัศนะคติ และทักษะ[๕]
ศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี จึงถือว่าชุมชน หรือสถานที่ทุกแหล่งสามารถเป็นสถานที่เรียนได้ แม้แต่การศึกษาที่ยึดตัวของผู้เรียนหรือการศึกษาจากตัวของผู้เรียนเป็นอยู่ หรือการตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาเฉพาะตัวของผู้เรียนด้วย
ผู้สอนในทรรศนะศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรีได้กล่าวถึงผู้สอนว่า ต้องพยายามสอนให้เกิดการ บูรณาการและเข้าใจถึงสภาพของเด็กเมื่อเข้ามาเรียน[๖]เพราะบางครั้งเด็กที่เข้ามาอาจมีปัญหาจากการโดนรังแกจากเพื่อน หรือความขาดแคลนเรื่องอาหาร เครื่องแต่งตัว เป็นต้นครูต้องเป็นเสมือนที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ ของเด็กและพยายามช่วยเหลือและจัดความช่วยเหลือต่างๆ เหล่านั้น
หลักสูตรการศึกษาในทรรศนะศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้กล่าวถึงหลักสูตรการศึกษาว่าต้องมีการนำเอาพุทธปรัชญามาใช้ในการแก้ปัญหา คือเป็นการประยุกต์เข้ากับการศึกษาเพื่อการแก้ปัญหา โดยใช้อริยสัจจ์ ๔ เปรียบเทียบกับการแก้ปัญหา[๗]หรือเป็นการบูรณาการการศึกษาให้เกิดการเชื่อมโยงวิชาการต่างๆ ที่สอนให้มีความสอดคล้องกัน เพื่อให้การเรียนไม่เกิดความซ้ำซ้อนของวิชาการต่างๆ ดังนั้น ดร.สาโรช บัวศรี จึงได้เสนอให้มี การพัฒนาหลักสูตร เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการ ว่ามี ๔ วิธี คือ[๘
วิธีที่ ๑ พยายามจัดวิชาที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน ให้ได้อยู่ในสัปดาห์เดียวกัน หรือในเดือนเดียวกัน เช่นประวัติศาสตร์กับภูมิศาสตร์ เป็นต้น
วิธีที่ ๒ ให้รวบรวมวิชาที่ใกล้ชิดกันมากๆ ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ ให้เป็นวงวิชากว้างๆ เช่น วิชาอ่าน เขียนเรียงความ ไวยากรณ์โดยให้ชื่อกลุ่มนี้ว่า ศิลปะทางภาษา เป็นต้น
วิธีที่ ๓ ควรแบ่งหลักสูตรออกเป็น ๒ ตอนใหญ่ ดังต่อไปนี้ คือ
(๑) วิชาแกนซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนได้เกิดสภาพที่เรียกว่า บูรณาการโดยตรง คือ บังคับทุกคน คาดคะเนไว้ล่วงหน้าว่า ให้เรียนอะไรบ้าง และ ครูกับนักเรียนพิจารณาร่วมกัน
(๒) วิชาต่างๆ ซึ่งแยกสอนเป็นวิชาๆ ไปตามเดิมทั้งนี้เพื่อมุ่งให้เกิดความช่ำชองในแต่ละวิชา เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ
วิธีที่ ๔. ปรับปรุงข้อที่สามให้ตรงกับความเป็นจริงในชีวิตจริง คือ พยายามแก้ปัญหาของเด็ก ร่วมกัน โดยถือเอาตัวเด็ก คือ ปัญหาของเด็กนั่นเอง เป็นศูนย์กลาง (Child centered) และให้เรียนวิชาต่างๆ ตามปรกติเพื่อสนองความต้องการของตนเองและสังคม
ศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี ท่านเห็นว่า หลักสูตรการศึกษาที่ดีต้องมีลักษณะบูรณาการวิชาเรียนเข้ากันได้ในแต่ละวัน คือ วิชาไหนที่เหมือน หรือคล้ายๆ กันก็ควรที่จะเรียนในวันเดียวกัน หรือ รวบเป็นวิชาเดียวกัน ให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่เป็นศูนย์กลาง คือ ความเหมาะสมกับวัยและอายุของผู้เรียน หรือความพร้อมของผู้เรียน
การเรียนการสอนในทรรศนะศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้มีทรรศนะไว้ว่าการสอนที่ดีควรเป็นการสอนแบบใช้วิธีแก้ปัญหาซึ่งมีอยู่ ๕ ขั้น[๙] คือ
ขั้นที่ ๑ เป็นการกำหนดปัญหา
ขั้นที่ ๒ การตั้งสมมุติฐาน
ขั้นที่ ๓ การทดลองปฏิบัติ
ขั้นที่ ๔ การวิเคราะห์ผลของการทดลอง
ขั้นที่ ๕ การสรุปผล
ในทรรศนะศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ ทั้ง ๕ ประการนี้จะทำให้การศึกษาเกิดมีสภาวะที่เรียกว่าบูรณาการ สามารถเกิดผลได้ดีเป็นการเรียนที่สามารถนำเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ การเรียนการสอนแบบแก้ปัญหาซึ่งเป็นไปในลักษณะแบบวิทยาศาสตร์ ที่สามารถวัดได้ เห็นได้อย่างชัดเจน มีกรอบแนวคิดที่ชัดเจน และสาโรช บัวศรี ยังได้นำเอาวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์มาประยุกต์กับอริยสัจจ์ ๔ ร่วมอยู่ด้วย เป็นการวิเคราะห์วิธีการอย่างวิทยาศาสตร์กับอริยสัจจ์ ๔ เพื่อร่วมในการแก้ปัญหาไม่เพียงแต่ขณะปัจจุบันเท่านั้น แต่ต้องมีการแก้ทั้งด้านกายภาพของปัญหา และพฤติกรรมของปัญหาพร้อมกันไปด้วย ซึ่งการเรียนการสอนจะประสบผลไม่เพียงแต่ด้านวิชาการ ที่หมายถึงผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเท่านั้น แต่ต้องเป็นไปเพื่อการลดความโลภ ความโกรธความ และความหลง หรืออวิชชาความไม่รู้ของตนไปเรื่อย หรือเป็นไปอย่างครบกระบวนการอย่าง “ปฏิจจสมุปบาท” คือการอิงอาศัยของสิ่งต่างๆ การแก้ปัญหาจึงต้องมีการแก้อย่างสาวเหตุปัจจัย ไม่ด่วนสรุป แต่เป็นการพิจารณาอย่างเข้าใจ รอบคอบอย่างมีโยนิโสมนสิการ
การจัดการศึกษาในทรรศนะศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้ให้แนวทางการจัดการศึกษา หรือ วิธีสอนแม่บทสำหรับโรงเรียนว่าต้องใช้วิธีการแห่งปัญญา คือ สอนตามหลักอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งตรงกับวิธีการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ
ขั้นที่ ๑ การกำหนดปัญหา ซึ่งตรงกับขั้นทุกข์ในอริยสัจจ์
ขั้นที่ ๒ การตั้งสมมุติฐาน ซึ่งตรงกับขั้นสมุทัยในอริยสัจจ์
ขั้นที่ ๓ การทดลองและเก็บข้อมูล ซึ่งตรงกับขั้นนิโรธในอริยสัจจ์
ขั้นที่ ๔ การวิเคราะห์และสรุปผล ซึ่งตรงกับขั้นมรรคในอริยสัจจ์[๑๐]
ดร.สาโรช บัวศรี ต้องการ ให้การจัดการศึกษาเป็นไปในรูปแบบการตั้งโจทย์ ตามหลักอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งประยุกต์มาจากวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการปรับหรือประยุกต์พุทธปรัชญาให้กลมกลืนกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อเอาไปใช้ในการแก้ไขปัญหา ทั้งต่อการเรียน และการจัดรูปแบบการศึกษา หรืออื่นๆ ได้อีกมาก ซึ่งวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างที่เข้าใจกันมาก
..............................................................................................................................
[๑] สาโรช บัวศรี, การศึกษาและจริยธรรมศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี, (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการจัดสร้างอนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี และงานยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๔๙), หน้า ๔.
[๒] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๙.
[๓] สาโรช บัวศรี, การศึกษาและจริยธรรม ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี, หน้า ๖.
[๔] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๙.
[๕] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑.
[๖] สาโรช บัวศรี, การศึกษาและจริยธรรม ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี, หน้า ๒๕.
[๗] สาโรช บัวศรี, ปรัชญาการศึกษาสำหรับประเทศไทย : จุดบรรจบระหว่างพุทธศาสนากับประชาธิปไตย, หน้า ๙๓-๑๐๐.
[๘] สาโรช บัวศรี, การศึกษาและจริยธรรม ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี, หน้า ๒๘-๓๑.
[๙] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖.
[๑๐] อ้างใน ศักดา ปรางค์ประทานพร, ปรัชญาการศึกษาฉบับพื้นฐาน, หน้า ๑๖๑.
กราบขอบพระคุณที่แบ่งปันครับ
ท่านคือบิดาแห่งพุทธปรัชญาการศึกษาสามารถนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย