ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง กรุงเทพฯ มหานคร.... ของเด็กข้างวัดจากต่างจังหวัด ที่เข้ามาอยู่ในเมืองกรุงคนเดียว ไม่ค่อยกล้าออกไหนมากนัก มีชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการเดินทางจากหอพักแถวสะพานยมราชตั้งแต่เช้า ไปเรียนหนังสือที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ถนนศรีอยุธยาจนกระทั่งเย็น จึงเดินทางกลับมายังหอพัก นอกจากการเรียนหนังสือแล้วกิจกรรมออกกำลังกายช่วงพักเที่ยง หรือหลังเลิกเรียนในตอนเย็น ก็คือการเล่นตะกร้อ ซึ่งมีทั้งตะกร้อวงและตะกร้อข้ามตาข่าย ซึ่งมีความแตกต่างจากเซปักตะกร้อ ที่มีการแข่งขันกันในซีเกมส์อยู่ในปัจจุบัน
หลังจากการเรียนไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งชั้นเรียนก็จะเป็นการเรียนรวมกันของ นักศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์การแพทย์ เทคนิคการแพทย์ สาธารณะสุขศาสตร์ และ พยาบาลศาสตร์ โดยจะเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่ม นักศึกษาเตรียมแพทย์ หลังจากได้รู้จักพูดคุยกับเพื่อนนักศึกษาที่เรียนด้วยกันหลาย ๆ คนก็พบว่ามีลักษณะคล้ายกันคือ เลือกคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไว้อันดับที่ รอง ๆ ต่อจาก คณะแพทย์ คณะทันตแพทย์ หรือ เภสัช เป็นต้น ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงมีความตั้งใจว่าจะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ได้เข้าเรียนในคณะที่ชอบกว่า หรือ ตามความต้องการ (ของตนเอง และ/หรือ ของพ่อแม่ ?) มากกว่า ดังนั้นในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ ๑ อยู่นั้น จึงยังคงใช้เวลาส่วนหนึ่งทบทวน เนื้อหาความรู้ชั้น ม. ๗ และ ม. ๘ หรือ ที่ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ชั้นเตรียมอุดมกันอย่างสม่ำเสมอ......รวมทั้งตนเองด้วย และเมื่อถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีต่อมา จึงมีเพื่อน ๆ กลุ่มที่เรียนปีที่ ๑ ด้วยกันไปสอบเข้าใหม่ ที่เรียกว่าสอบเอ็นใหม่ กันหลายคน
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นปีแรกมีมหาวิทยาลัยที่เปิดใหม่ในส่วนภูมิภาคหรือต่างจังหวัด นอกเมืองหลวงหรือกรุงเทพฯ พร้อมกันรวม ๒ แห่งด้วยกัน คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มีการเปิดรับ นักศึกษาเตรียมแพทย์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รวมอยู่ด้วย โดยการรับรวมกับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ รวมแล้วเท่ากับ ๑๐๐ คน มาเรียนรวมกันในปีแรก แล้วจึงมีการแยกเป็น เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และ ชีววิทยา+เตรียมแพทย์ ในปีที่ ๒ เมื่อจบปีที่สองแล้ว นักศึกษาส่วนที่ได้เรียนแพทย์ก็จะไปเรียนต่อที่คณะแพทย์ศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ (โรงพยาบาลมหาราช ในปัจจุบัน) ....
ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ปรากฎว่า มีกลุ่มนักศึกษาที่เรียนปีที่ ๑ อยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว สอบเข้าใหม่ติดที่ คณะวิทยาศาสตร์ (และเตรียมแพทย์) จำนวนหลายคน จึงทำให้นัดแนะกันเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ด้วยรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ตามที่มหาวิทยาลัยแนะนำพร้อม ๆ กัน จำได้ว่ากลุ่มเราเดินทางไปถึงเชียงใหม่เป็นกลุ่มแรก ๆ และทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดอาจารย์และรถยนต์ มาคอยรับที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ไปส่งยังหอพักในมหาวิทยาลัยที่มีอยู่หลังเดียว เรียกว่า วิทยาลัยที่ ๑ รถที่เอามารับก็คือรถบรรทุกของทหาร เมื่อเดินทางไปถึงก็ไปขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษา เพื่อรับรหัสประจำตัว ในปีแรกนี้เข้าใจว่าจะเรียงลำดับตามที่มารายงานตัวขึ้นทะเบียน ดังนั้นกลุ่มของเราจึงได้รหัสประจำตัวอยู่ต้น ๆ กัน โดยต่อจากกลุ่มที่เป็นชาวเชียงใหม่ ที่มารายงานก่อนเท่านั้น......นี่คือ การได้มาเป็น นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่รุ่นแรก หรือ ลูกช้างรุ่นแรก ของเด็กข้างวัด โดยได้รับ รหัสประจำตัว ๐๗๕๐๑๖ คือ เป็นนักศึกษาเข้า รุ่น ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ (๐๗) คณะวิทยาศาสตร์ (๕) ลำดับที่ ๑๖
ในวันต่อมานับว่าโชคดีมาก ๆ ที่คุณพ่อของเพื่อนในกลุ่มนำรถยนต์ไปส่งลูกถึงเชียงใหม่ด้วย จึงได้มีโอกาสขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ และ ได้เลยขึ้นไปยังพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ อีกด้วย แต่เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปในเขตพระตำหนัก เพราะช่วงนั้นไม่ได้เปิดให้เข้าชม ก็เลยได้แต่เก็บภาพที่ประตูเข้าไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ขึ้นไปด้วยกัน นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กข้างวัดจากที่ราบสูงอีสาน ได้ขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ มาถึงวันนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ผ่านไป ๕๐ ปี แล้ว....
สวัสดีปีใหม่ครับ ...... ขอคุณพระรัตนตรัยดลให้ท่านอาจารย์และครอบครัวมีสุขตลอดปีใหม่ครับ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗ ครับ อาจารย์ ขอให้อาจารย์และครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไปด้วยครับ
มีเพื่อน มช. รุ่น ๐๗ เข้ามาอ่านและทักท้วงว่า มข. หรือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดรับนักศึกษา หลัง มช. หรือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.... เรื่องนี้ แพนด้า ขอบอกว่าเขียนจากความทรงจำ ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลจริงๆ....ท่านไหนที่มีข้อมูลที่ถูกต้องก็ ช่วยยืนยันด้วยนะคร๊าบ