เพราะเหตุใดคนไทยในเกาหลีจึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
: บทวิเคราะห์เบื้องหลังศาสนาพุทธในแบบฉบับไทยๆ
แรงบันดาลใจจากรายการพื้นที่ชีวิต ตอน เกาหลีในพระหัตถ์ พระเจ้า
โดย วรารักษ์ รจนา
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ ดูรายการโทรทัศน์ ย้อนหลัง ทางอินเตอร์เน็ต นั่นก็คือ รายการ พื้นที่ชีวิตตอน เกาหลีในพระหัตถ์ พระเจ้า โดยคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุลเป็นพิธีกรดำเนินรายการ
เนื้อหารายการ เป็นตอนที่ รายการไปติดตามชีวิตคนไทยที่ไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้ จำนวนคนไทยที่ไปทำงานในเกาหลีใต้นั้นมี 40000 คน โดยคนไทยที่เปลี่ยนศาสนาจากพุทธไปนับถือศาสนาคริสต์นั้น มีมากถึง 400 คน ประเด็นที่รายการพื้นที่ชีวิตได้ตั้งคำถามและหาคำตอบก็คือ เพราะอะไร ? เหตุใด ? คนไทยที่มาจากต่างจังหวัดชนบทในประเทศไทยที่มีความเข็มข้นทางศาสนาพุทธสูงนั้นจึงเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งเป็น หลักความเชื่อที่ไม่เคยศึกษาหรือไม่เคยสนใจมาก่อน
รายการดำเนินไปด้วยวิธีการตั้งคำถามและค่อยเผยประเด็นคำตอบจากการสัมภาษณ์คนไทยที่ไปทำงาน อาสาสมัครดูแลโบสถ์ และบาทหลวงชาวเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้คล่องมาก
อาสาสมัครคนไทยที่ดูแลโบสถ์ คนหนึ่งซึ่งอดีตเคยบวชเป็นพระ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการว่า ตอนแรกที่มาโบสถ์ก็ไม่ได้สนใจอะไร กลับตั้งคำถามด้วยซ้ำว่าทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ (ตามหลักระเบียบการอธิฐานร้องเพลงต่างๆ ที่ศาสนาคริตร์ทำกันในวันอาทิตย์) แต่พอเปิดใจรับฟังว่า พระเจ้าคือใคร พระเยซูคือใครทำหน้าที่อะไร ทำให้พบความสงบสุขในใจ
เพื่อนของอาสาสมัครอีกท่านได้ พูดถึงประเด็นการพบความสุขในศาสนาคริสต์ซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนตอนนับถือศาสนาพุทธว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยสัญญากับเราว่าจะช่วยเรา พระพุทธเจ้าสอนว่า อตฺตาหิ อตฺตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้ช่วยเหลือตัวเอง แต่ถ้าคุณช่วยตัวเองไม่ได้มันก็เรื่องของคุณ แต่พระเยซูสอนว่าคุณต้องการอะไรคุณก็อธิฐานต่อพระองค์และพระองค์จะให้คุณ และพระองค์ก็จะอยู่กับคุณตลอดเวลา
คนไทยอีกคนซึ่งป่วยและไปรักษากับหมอแล้วก็ไม่หาย เพื่อนเลยแนะนำให้ไปรักษากับบาทหลวง ซึ่งเธอบอกว่าตอนที่อยู่เมืองไทยเป็นคนเคร่งในศาสนามาก ตื้นเช้าขึ้นมาทำบุญใส่บาตรทุกเช้า แต่พอเธอมานับถือศาสนาคริสต์เธอรู้สึกมีความสุข โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย และเธอก็ถามกับตนเองว่า ที่เราทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิภาวนา เราจะสามารถประมาณได้ไหมว่าจะได้ขึ้นสรรค์ ซึ่งศาสนาพุทธไม่เคยให้ความเชื่อมั่นกับเธอเลย แต่พอนับถือศาสนาคริสต์คำถามเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวใจเธออีกเลย เธอมีความสุขทุกวัน เธอได้อยู่กับพระเจ้าทุกวัน
ศาสนาคริสต์สอนว่าคุณอยากได้อะไรคุณก็ขอหากขอแล้วไม่ได้นั้นแสดงว่ามันยังไม่ถึงเวลา แล้วคุณไม่ต้องมาคร่ำครวนว่าทำไมไม่ได้เพราะพระเจ้ากำลังบอกกับคุณว่าคุณยังไม่เหมาะกับสิ่งนั้น ซึ่งมันเป็นคำสอนที่ใช้บำบัดความผิดหวังในชีวิต (เนื้อหาตอนหนึ่งของรายการ)
เนื้อความที่กล่าวให้อ่านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตั้งประเด็นคำถามและการแสวงหาคำตอบของรายการพื้นที่ชีวิตซึ่งจะค่อยๆเผยปมปัญหาและจบด้วยการให้ผู้ชมไปคิดต่อ
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นสมาชิกหนึ่งในองค์กรศาสนาพุทธ เมื่อดูรายการนี้จบก็มานั่งคิดถึงคำถามของพิธีการรายการตอนหนึ่งว่า มันมีปัญหาบางอย่างหรือเปล่ากับการนับถือศาสนาพุทธในบ้านเรา (วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล)
ผู้เขียนเลยลองมาหาคำตอบ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างน้อยนิดตอบโจทก์คำถามของคุณวรรณสิงห์ โดยใช้มุมมองตนเอง (ซึ่งหมายความว่ามันจะถูกหรือผิดก็ได้) ว่า ปัญหาของการนับถือศาสนาพุทธในเมืองไทยถ้ามองโดยวิธีคิดอย่างที่ผู้เขียนมอง ศาสนาพุทธบ้านเรา เรามีปัญหากันในระดับวิธีคิดหรือระดับอุดมการณ์ของปัญหาเลยทีเดียว
1. ผู้อ่านจะยอมรับหรือไม่ก็ตามว่าวิธีคิดและวิธีตีความชุดคำสอนทางศาสนาพุทธเป็นรากฐานของปัญหาศาสนาพุทธในบ้านเรา กล่าวอย่างนี้อาจไม่ชัด แต่ถ้าจะยกตัวอย่างวิธีคิดหรือวิธีตีความชุดคำสอนนั้น เช่น เรามักจะสอนกันว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสมบูรณ์แล้ว ไม่มีสิ่งใดจะเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็น อกาลิโก ไม่จำกัดซึ่งกาลเวลาไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม วิธีคิดแบบนี้ทำให้ศาสนาพุทธในบ้านเราย่ำอยู่กับที่และขาดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา สำหรับผู้เขียนแล้ววิธีคิดแบบนี้ถูกแค่ครึ่งเดียว ผู้เขียนมองว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ซึ่งคำสอนในลักษณะนี้เป็นคำสอนในขั้นของโลกิยะ แต่คำสอนอีกที่เป็นอมตะเป็นสัจจะธรรมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็มีอยู่มากเช่นกัน เช่น หลักไตรลักษณ์ อริยสัจ มรรคแปดเป็นต้น ซึ่งเป็นหลักในระดับโลกุตระธรรม
ปัญหาการตีความชุดความคิดและคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ปัญญาชนไทยเป็นตัวอย่างและสอนต่อชนชั้นในระดับล่างๆ ว่าคำสอนของศาสนาพุทธนั้น เป็น อกาลิโล ไปหมดเสียทุกอย่างทุกอย่าง สมบูรณ์หมดจึงเป็นที่มาของการย้ำอยู่กับที่ของพุทธศาสนาในบ้านเรา แม้เราจะพูดกันในรายละเอียดแยกย่อยว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล พระพุทธเจ้าท่านให้โต้เถียงได้แต่ในว่าเป็นจริง ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ คน ที่ตั้งคำถามกับศาสนาจะถูกจัดการโดยระบบว่าเป็น คนที่ลบหลู่ หรือเด็กที่ชอบซักชอบถามและโต้เถียงด้วยประเด็นต่างๆกับผู้ใหญ่ ก็จะถูกมองจากฐานของวัฒนธรรมอันดีงามของไทยว่า เป็นเด็กก้าวร้าว เถียงคำไม่ตกฟาด ระบบจัดการกับคนที่ตั้งคำถามหรือคนที่เห็นต่างนั้น เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยก็คือ กรอบของความเป็นคนดี เด็กดี แม้ในทางทฤษฏีเราจะบอกว่าเราเป็นศาสนาแห่งเหตุผลแต่เอาเข้าจริง เรางมงาย และห่างไกลจากความเป็นพุทธะ มากนัก
ซึ่งการมองหรือตีความชุดความคิดทางศาสนาพุทธว่า ทุกอย่าง ล้วน อกาลิโก และวัฒนธรรมกรอบที่ใช้ จัดการกับคนสงสัยหรือเห็นต่างซึ่งพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าพวกนี้ชั่ว เลว นั้น ไม่ต่างจากสำนวนนักเขียนท่านหนึ่งว่า มันคือ การสำเร็จความใคร่ทางอุดมคติ
2. ปัญหาต่อมาที่จะตอบคำถามคุณวรรณสิงห์ว่าเรามีปัญหากับการนับถือศาสนาพุทธหรือป่าว ซึ่งผู้เขียนจะไม่ตอบโดยตรง แต่ให้ผู้อ่านคิดเอาเองว่าผู้เขียนตอบคำถามนี้อย่างไร ว่า ศาสนาพุทธบ้านเรา (ความคิดของผู้เขียนนะ) เราสอนกันในลักษณะที่เป็นนามธรรมมากเกินไป จนรวมความแล้วเอาเข้าจริงคำสอนของศาสนาพุทธกลับตอบโจทก์ความต้องการในชีวิตประจำวันของคนไม่ได้ซึ่งต่างจากศาสนาคริสต์ในเกาหลี จากการชมรายการ เช่น กันทำบุญทำให้มากๆ แล้วชาติหน้าจะรวย รักษาศีลชาติหน้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ถวายดอกไม้แล้วชาติหน้าจะได้เกิดมาสวยๆหล่อๆ หรือ ที่โหดร้ายไปกว่านั้นก็คือ ชาตินี้เกิดมาจน เพราะชาติที่แล้วตระหนี่ขี้เหนี่ยว เกิดมาเป็นเพศที่สามเพราะชาติแล้วผิดศีลข้อสาม ทุกอย่างทุกกำหนดแล้วจากอดีตชาติ คนจะจนจะรวย จะเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองจะเป็นเจ้าคนนายคนล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดมาจากอดีตชาติ ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งการตีความชุดคำสอนในลักษณะของความเป็นไทยที่เราทำกันอยู่นั้น มันทำให้คนรู้สึกหดหู่ แล้วยอมจำนนต่อโชคชะตาในที่สุด
หลังจากการอกหักจากคำสอนทางศาสนาพุทธเลยทำให้คนไทยจำนวนมากสถาปนา ไสยศาสตร์ในโฉมหน้าพุทธ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าทรง ตุ๊กแกให้โชคต้นไม้ประหลาดๆ คำสอนแปลกๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าที่พึ่งที่แท้จริงที่บำบัดความไม่มั่นคง ความไม่สบายใจและความ ไม่มีความสุขของคนไทยไม่ใช่สิ่งที่เราเรียกกันว่าพุทธศาสนาแต่เป็น ไสยศาสตร์แบบบูรณาการณ์ ต่างหากซึ่งมันต่างจากศาสนาคริสต์ในเกาหลี ที่ให้ความมั่นคงหรือหลักประกันกับคนเกาหลีและที่สำคัญที่สุดศาสนาคริสต์ให้ความหวังกับคนเกาหลีว่า ทุกอย่างจะต้องดีกว่าเดิม และด้วยศักยภาพของมนุษย์ ภายใต้ความเมตตาของพระเจ้าจะประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผู้ศรัทธาซึ่งมันทำให้ผู้ศรัทธามั่นใจ
หากจะมองในมุมจิตวิทยาการสอนในลักษณะนี้ก็คือการตอบสนองความอ่อนแอทางจิตใจของมนุษย์และเสริมสร้างความหวังให้กับผู้ศรัทธา ซึ่งให้ประโยชน์กับประชาชนผู้ศรัทธาในปัจจุบันขณะ ซึ่งต่างจากคำสอนทางพุทธศาสนาที่ถูกตีความว่า จะให้ผลในชาติถัดไป
3. สืบเนื่องจากปัญหาในข้อ 2 การเข้าถึงหัวใจของศาสนาพุทธในสังคมไทยกลับสามารถทำได้เฉพาะคนชั้นกลางที่มีการศึกษาหรือชนชั้นสูงเท่านั้น ดังสถานที่ปฏิบัติธรรมในประเทศไทยถูกออกแบบมาเพื่อต้อนรับคนมีการศึกษาและชนชั้นที่มีกระเป๋าหนักเท่านั้น (เห็นได้ทั่วไปหากสักเกตนะครับ) ส่วนคนยากคนจนต่างจังหวัด ก็ทำบุญกับหลวงปู่หลวงตาแก่ๆที่บวชหลีกปัญหาตอนแก่เท่านั้น และสภาพแวดล้อมปัญหารุมร้าวทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนต่างจังหวัดซึ่งยากต่อการทำความเข้าใจหัวใจพระพุทธศาสนาอยู่แล้วบวกกับการขาดบุคคลากรที่มีคุณภาพของพุทธศาสนาเลยทำให้คนต่างจังหวัดแตะต้องพุทธศาสนาเพียงเปลือกเท่านั้น การเรียนรู้ทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงทำได้เฉพาะชนชั้นกลางและชนชั้นสูงเท่านั้น
4. ระบบการศึกษาของพุทธในบ้านเราเองที่มีปัญหา ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ท่านทราบหรือไม่ว่า หลักสูตรนักธรรมบาลีที่ พระเณรทั่วประเทศเรียนและสอบกันอยู่ในปัจจุบันเป็นหลักสูตรที่ร่างและใช้กันมาตั้งแต่ราชกาลที่ 4 (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ผ่านมาหลาย ราชกาลแล้ว รูปแบบการเรียนการสอนยังเหมือนเดิม เท่าที่ผู้เขียนเคยเรียนและสอนมาบ้าง สังเกตได้เลยว่านักธรรมบาลีที่เรียนๆและสอนๆตามๆกันมานั้น ไม่สามารถบูรณาการ มาใช้กับชีวิตประจำวันได้จริง นอกจากเรียนเพื่อจำและสอบ คนในระบบหรือนอกระบบก็ไม่สามารถหรือไม่กล้าตั้งคำถามกับระบบการศึกษาของคณะสงฆ์เพราะ หากใครทำเช่นนั้นก็จะถูกตั้งข้อหา ลบหลู่ หัวรุนแรงหรือคนเลวไปในทันที
เขียนอภิปรายมายืดยาว เกรงว่าผู้อ่านจะเบื่อขอจบแบบง่ายๆโดยการสรุปประเด็นปัญหาศาสนาพุทธในสังคมไทย อันที่จริงยังมีอีกมากในความคิดของผู้เขียนจะเขียนก็ยืดยาวเลยสรุปสั้นๆแล้วให้ผู้อ่านไปขยายความต่อว่า ปัญหาที่ทำให้ศาสนาพุทธถูกแช่แข็งและที่เป็นเหตุให้คนต่างจังหวัดในชนบทขาดความเข้าใจในพุทธศาสนาและเป็นเหตุให้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นในกรณี คนไทยในเกาหลีนั้น คือ
สุดท้ายหากใครได้อ่านบทความนี้อยากฝากไปถึงคุณวรรณสิงห์ คุณนิ้วกลม และทีมงานรายการพื้นที่ชีวิตว่าอยากให้รายการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบของปัญหาต่างๆเกี่ยวกับ ปัญหาพุทธศาสนาในเมืองไทย โดยเดินเรื่องผ่าน ยุวสงฆ์ หรือพระสงฆ์ สามเณร เยาวชน สมัยใหม่ที่มองวิกฤตพุทธศาสนาอย่างเป็นห่วง โดยจัดทำรายการสักตอนที่เกี่ยวกับ ปัญหาและการแก้ปัญหาในมุมมองของ พระ เณร ยุคใหม่เพื่อเป็นเบื้องต้นของการจุดประเด็นปัญหาให้สังคมพุทธ นักวิชาการพุทธได้ตระหนักกับการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นนี้
ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าด้วยความน่าสนใจที่รายการเป็นอยู่แล้วบวกกับประเด็นนี้ จะเพื่อความน่าสนใจหาน้อยไม่
ดอกกกดพไกำเถะำ
ควย ทิ้งรากเหง้าตัวเอง
อยากให้วิเคราะห์เรื่องทำไมนักเรียนไทยถึงเบื่อกับการเรียนพระพุทธศาสนา
พระต้องสวดมนต์เป็นภาษาไทยให้มากขึ้น ให้คนฟังได้ประโยชน์จากการฟังเทศน์จริงๆ แทนที่จะเน้นความขลัง สวดเป็นภาษาบาลีที่แม้แต่คนอินเดียเองก็ไม่รู้ว่าฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ ทำให้การฟังเทศน์และสวดมนต์ในศาสนาพุทธเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะสวดไปก็ไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริง