บันทึก ๑๙ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ Teaching Kids to Be Good People : Progressive Parenting for the 21st Century เขียนโดย Annie Fox, M.Ed.
ตอนที่ ๑๕นี้ ตีความจากบทที่ ๗ How About Me?! Seeing Beyond Likes and Dislikes to the Bigger Picture โดยที่ในบทที่ ๗ มี ๔ ตอน ในบันทึกที่ ๑๔ได้ตีความตอนที่ ๑ และ ๒ และในบันทึกที่ ๑๕นี้เป็นการตีความตอนที่ ๓ และ ๔
ทั้งบทที่ ๗ ของหนังสือ เป็นเรื่อง การสอนเด็กให้เป็นคนดีโดยขยายความสนใจจากตัวเอง และเรื่องใกล้ตัว ไปสู่โลกกว้าง ให้เข้าใจว่าในโลกนี้ยังมีคนอื่น สิ่งอื่นอีกมากมาย ที่เด็กจะต้องทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ที่ดี คนอื่นเหล่านี้ต่างก็มีชีวิตเลือดเนื้อและความต้องการของเขา การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน เป็นการปูพื้นฐานไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตที่ดี หรือเป็นคนดี
ตอนที่ ๓ ถึงเวลาเปลี่ยน เป็นการทำความเข้าใจว่าชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง พ่อแม่/ครู ต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูก/ศิษย์ เป็นช่วงๆ จากชีวิตที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง ไปสู่ชีวิตที่มีหลายศูนย์กลาง และมีปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพื่อให้เด็กค่อยๆ เรียนรู้ “ภาพใหญ่” ของชีวิต
ปัญหาที่เด็กเผชิญในช่วงต่างๆ ของชีวิต เป็น “เรื่องเด็กๆ” หรือเรื่องเล็กสำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่และจริงจังสำหรับเด็ก ข้อเตือนใจสำหรับพ่อแม่/ครู ก็คือ ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ จากเป็นผู้กำกับพฤติกรรม มาทำหน้าที่โค้ช ของการพัฒนาชีวิตอิสระของลูก/ศิษย์
ในช่วงที่เป็นทารกและเด็กเล็ก ชีวิตเกือบทั้งหมดอยู่กับพ่อแม่ เมื่อโตขึ้น แวดวงของเด็กก็กว้างขึ้น และกลายเป็นโลกของปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในช่วงวัยรุ่น พ่อแม่/ครู ต้องช่วยโค้ช เด็ก ให้เรียนรู้พัฒนาตนเองไปถูกทาง ในช่วงของการพัฒนาชีวิตอิสระนี้ ทักษะนี้ของพ่อแม่/ครู มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นประเด็นสำคัญของบทนี้
ผู้ใหญ่พึงตระหนักว่า ในช่วงวัยรุ่น คนเราต้องการอิสระ แต่อิสระแบบไร้ขอบเขตเป็นอันตรายต่อเด็กมากกว่าเป็นผลดี การดูแลเด็กวัยรุ่นอย่างพอเหมาะพอดีระหว่างการให้ความเป็นอิสระ และการมีกรอบกติกา จึงเป็นความท้าทายยิ่ง และเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ รวมทั้งเป็นโจทย์วิจัยที่ท้าทาย เพราะบริบทสังคมเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
คำถามของครูของลูก “ลูกสาว (สมมติว่าชื่อ แอนน์) เรียน ป. ๖ เริ่มแต่งหน้าทาปาก และแต่งตัวเป็นสาวเริ่ด ในขณะที่เด็กผู้หญิงในชั้นเกือบทั้งหมดไม่ พ่อแม่ของเพื่อนลูกบอกว่า เขามองแอนน์เป็นตัวอย่างไม่ดีของลูกเขา ฉันอยากให่เขาแต่งตัวเรียบร้อย และไม่แต่งหน้าทาปาก พ่อแม่คนอื่นๆ บอกว่าเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะ สามีและลูกชายวัย ๑๘ บอกว่าแม่กังวลเกินไป ฉันวิตกเกินไปหรือเปล่า”
คำตอบของผู้เขียน “ฟังดูแล้วคล้ายกับว่าคุณคิดว่าคุณไม่มีทางกำกับพฤติกรรมของลูกอายุ ๑๒ จริงๆ แล้วคุณมีอย่างเหลือเฟือ ฟังดูคล้ายๆ มีอะไรขาดไป เด็กเอาเงินที่ไหนไปซื้อเสื้อผ้า และเครื่องสำอาง คุณไปกับลูกหรือเปล่าตอนเธอซื้อเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง หากคุณยอมตามที่ลูกซื้อ ก็เท่ากับคุณส่งสัญญาณว่าคุณเห็นด้วยกับที่ลูกจะแต่งหน้าและแต่งตัวอย่างนั้น ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับการแต่งตัวอย่างนั้น คุณก็ไม่ควรจ่ายเงินซื้อให้”
คำถามรอบสอง “สามีเป็นคนซื้อเป็นส่วนใหญ่ ตอนที่แม่ไปด้วยลูกก็ไปลองเสื้อเอง โดยแม่ไม่คิดว่าจะเป็นเสื้อที่เปิดเผยร่างกายอย่างนั้น ทั้งพ่อและพี่บอกว่าแม่คิดมากไป แต่ก็มีพ่อแม่ของเพื่อนลูกสาวคนหนึ่งบอกว่าอย่าเอาอย่างลูกสาว ตนได้หาทางพูดกับลูกสาว ว่าผู้คนเขาจะตัดสินว่าเธอเป็นคนอย่างไรจากการแต่งกาย สามีเริ่มเข้าใจว่า การแต่งกายแบบยั่วยวนและแต่งหน้าจะมีผลอย่างไรต่อลูกสาว”
คำตอบของผู้เขียน “ลูกสาวต้องการคุณเป็นที่พึ่ง เพราะเธอยังไม่เข้าใจผลของการแต่งกายแบบยั่วยวน ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณไปยังเด็กหนุ่มในโรงเรียน คุณต้องคุยกับสามี และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการสอนลูกสาวว่าการแต่งกายเช่นนั้น ไม่เหมาะสม เป็นอันตรายต่อตัวลูกเอง และนี่คือกติกาของบ้าน รวมทั้งบอกลูกชายอายุ ๑๘ ว่า อย่าเข้ามายุ่ง”
ตอนที่ ๔ ภาพใหญ่ของชีวิต เป็นธรรมดาที่เด็กวัยรุ่นจะเผชิญวิกฤติของชีวิตหรือความผิดหวัง เป็นครั้งคราว เป็นวิกฤติสั้นๆ และส่วนใหญ่เป็น “เรื่องเด็กๆ” เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะช่วยประคับประคอง ช่วยเหลือ เตือนสติ ให้ฟันฝ่าวิกฤตินั้นไปได้ พร้อมกับเรียนรู้เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า คอยเตือนสติเด็กว่า วิกฤตินั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในชีวิต ซึ่งยังอีกยาวไกล
ยามเด็กมีทุกข์ ให้ โค้ช เตือนความจำถึงทุกข์ในอดีต ที่เด็กเคยผ่านมาแล้ว และชี้ให้เห็นว่า เด็กเคยเอาชนะหรือทนความทุกข์เช่นนั้นได้ ความทุกข์คราวนี้ เด็กก็จะเอาชนะหรือฟันฝ่าไปได้เช่นเดียวกัน
ชีวิตคือการเดินทางและเรียนรู้จากเรื่องจริงที่ประสบกับตนเอง หรือตนเองเป็นผู้แสดง ในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงการเดินทางของอารมณ์ความรู้สึกมากเป็นพิเศษ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็ว เมื่อเด็กโตขึ้น และผู้ใหญ่มักไม่มีความรู้ความเข้าใจหรือทักษะในการช่วยเหลือเด็ก โดยหลักการคือให้ใช้ความรักความเมตตาเห็นอกเห็นใจเป็นยาขนานหลัก เจือด้วยความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง/พัฒนาการ ของเด็ก ตามที่ระบุในหนังสือ
เมื่อพ่อแม่/ครู ช่วยโค้ชเด็กด้วยความรักความเมตตา สิ่งที่ได้รับคือ การปลูกฝังความรักความเมตตาในตัวเด็ก ให้เขาเติบโตเป็นคนดี ซึ่งเท่ากับพ่อแม่/ครู ได้ช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เด็กควรได้เรียนรู้ คือการแสดงอารมณ์ความรู้สึก (อย่างสุภาพ สร้างสรรค์) เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การอาละวาดตีโพยตีพายไม่ใช่สิ่งควรทำ ตอนเป็นทารกคนเราต้องร้อง ต้องโวยวาย เพราะทำได้แค่นั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เมื่อเติบโตขึ้น คนเราสามารถพูดได้ แสดงออกได้หลายทาง เราต้องเรียนรู้ที่จะแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
การแสดงออกด้วยการโวยวาย คร่ำครวญ บ่น โทษคนอื่น เป็นการแสดงออกซึ่งทัศนคติและพฤติกรรมด้านลบของตน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตนเอง คนเราต้องฝึกทัศนคติและพฤติกรรมด้านบวก คือการลงมือทำอย่างสร้างสรรค์ อย่างรับผิดชอบ และอย่างเคารพและเห็นอกเห็นใจหรือมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น
คำถามของสาว ๑๓ “หนูมีผลการเรียนเป็นเยี่ยม ตลอดช่วง ม. ต้น หนูเห็นเพื่อนๆ มีเพื่อนชาย แต่หนูไม่มี คนหน้าตาดีระดับ ๙.๕ จากคะแนนเต็ม ๑๐ เป็นนักบาสเกตบอลล์ และวอลเล่ย์บอลล์ และได้รับรางวัลศิลปินเยี่ยมของโรงเรียน ทำไมจึงไม่มีแฟน หนูสูงเกินไปหรือเปล่า หรือว่าหนูเป็นคนมั่นใจตัวเองเกินไป หนูไม่ใช่คน ป๊อบปูล่าร์ แต่ก็ไม่มีคนตั้งข้อรังเกียจหนู หนูไม่คิดว่าควรจะประเมินคนด้วยความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ แต่หนูก็สงสัยว่ามีอะไรผิดปกติในตัวหนู หนูรู้สึกว่าตัวเองอาจต้องอยู่คนเดียวตลอดไป หนูอยากรู้ว่าตนเองทำอะไรผิด เพื่อว่าเมื่อขึ้น ม. ปลาย จะได้แก้ไขตนเอง”
คำตอบของผู้เขียน “เห็นใจที่เพื่อนๆ มีเพื่อนชายแต่เธอไม่มี การที่คนเราจะต้องตาต้องใจกันนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชตา ในขณะที่เธอทำอะไรไม่ได้กับโชคชตา แต่เธอก็ปรับปรุงตัวเองได้ โดยการฝึกตนเองให้คิดด้านบวก ไม่คิดว่าตนเองจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นความคิดด้านลบ เธอคิดถูกแล้วที่บอกว่า เราไม่ประเมินคนจากการมีเพื่อนต่างเพศ คำแนะนำคือให้เชื่อความคิดว่าการไม่มีแฟนไม่ใช่ปัญหา และลองคิดใหม่ว่า การยังไม่มีเพื่อนชายเป็นสิ่งดี แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต”
ผมไม่ค่อยถูกใจนัก ต่อคำตอบของผู้เขียนข้างบน ถ้าเป็นผมผมจะตอบว่า ชีวิตข้างหน้ายังอีกยาวนัก โอกาสพบเพื่อนชายที่ถูกใจยังมีอีกมาก และวิธีทำให้ตัวเองมีเสน่ห์ดึงดูดใจ เพิ่มจากความสามารถที่เธอมีอยู่ล้นเหลือคือความร่าเริงเบิกบาน ที่จะเกิดจากการมองโลกแง่บวก ตามที่ผู้เขียนแนะนำ
ผมใคร่ขอย้ำไว้ ณ ที่นี้ว่า คำแนะนำของผู้เขียนต่อคำถามที่ยกมานั้น เป็นการตอบตามบริบทของสังคมอเมริกัน หากจะนำมาใช้ในบริบทสังคมไทย ต้องปรับให้เหมาะสม
วิจารณ์ พานิช
๙ เม.ย. ๕๖
ขอบคุณอาจารย ครัย