การนำเอาหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของข้าพเจ้า


พอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอเพียง

เรื่องเล่า การนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของข้าพเจ้า 

นายกฤษฎา นาซอน

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5         โรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม

        “....คำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอเพียง ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกคนมีความคิด คนเราก็จะอยู่เย็นเป็นสุข และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีความสุข....” ...ในการดำเนินชีวิตใช้ชีวิตอย่างพอเพียงของตัวข้าพเจ้านี้ นับตั้งแต่ข้าพเจ้าลืมตาดูโลกและจนดำเนินชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้... ข้าพเจ้าเชื่อว่าการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นมักจะมีปัญหาและอุปสรรคที่มาขวางกั้นอยู่มากมาก และทุกย่างก้าวของข้าพเจ้าต้องเผชิญกับปัญหา และอุปสรรคที่ยากลำบาก ซึ่งแต่เดิมข้าพเจ้าเป็นคนที่คิดมาก “คิดมาก”ในที่นี้คือ คิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วชอบคิดไปแต่ในทางแง่ลบ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความกลัว ไม่กล้า เกิดความท้อแท้ในการดำเนินชีวิตในบางครั้ง และข้าพเจ้าก็ได้บอกปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตกับของข้าพเจ้าให้กับมารดาของข้าพเจ้าฟัง มารดาของข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า “การที่คนเราจะดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดีนั้นจะต้องมีเหตุผล มีความมานะมุ่งมั่น มีกำลังใจ และต้องหาแนวทางแก้ไขอยู่เสมอ จึงจะผ่านพ้นปัญหานี้ได้ นะลูก” จึงทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่า “การที่จะทำให้เราผ่านพ้นกับปัญหาและอุปสรรคนั้นไป ในการดำเนินชีวิตนั้น ต้องใช้ หลักการคิดอย่างมีเหตุผล และข้าพเจ้าก็เชื่อทุกคนเกิดมาย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง (ซึ่งไม่รู้ว่าความคิดนั้นจะดีหรือไม่ดี) แต่ในความคิดของแต่ละคนนั้นมีความคิดที่แตกต่างกันไป ในการคิดทุกครั้งทุกคนย่อมมีเหตุผล (ซึ่งไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นดีหรือไม่ดี) และข้าพเจ้าก็เชื่อว่าทุกคนที่เกิดมานั้นมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง (ซึ่งพรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่มีมาโดยตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ในตัวบุคคลคนนั้น) และพรแสวง (ซึ่งพรแสวงนั้นเป็นสิ่งที่บุคคลคนนั้นย่อมแสวงหาอยู่เสมอ)” และซึ่งเปรียบเทียบกับตัวของข้าพเจ้านั้น ซึ่งอาจไม่มีพรสวรรค์เลยที่ช้อนอยู่เลยก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเป็นคนชอบแสวงหาความรู้หรือประสบการณ์อยู่ใหม่ๆอยู่เสมอ ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าค่ายทำกิจกรรมต่างๆ การเข้าร่วมโครงการต่างๆ การรับฟังคำแนะนำจากวิยากรให้ความรู้ต่างๆ และที่สำคัญคือข้าพเจ้าชอบลงพื้นที่ศึกษาและปฏิบัติงานนั้นอย่างจริงจัง และจริงใจ และถึงแม้ในบางเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่รู้ในสิ่งๆนั้น แต่ก็พยายามศึกษาให้เข้าใจและนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันอยู่เสมอ จากที่กล่าวมาจึงสามารถสรุปได้ว่าเป็น “พรแสวง”... และข้าพเจ้าก็ขอกล่าวถึงการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราและรวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย.... ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายคน มีกิจกรรมที่ต้องทำอยู่เหมือนกันหลายประการ อาทิเช่น ตื่นนอน เข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว ทานข้าว ไปทำงานในอาชีพที่แตกต่างกันไป (เช่น ทำนา เป็นนักเรียนเรียน ทำงานข้าราชการ เป็นนักศึกษา  ทำงานธุรกิจส่วนตัว หรืออาชีพอื่นๆ) และซึ่งอาจมีอาชีพที่สบาย(ในที่นี้คืออาชีพว่างงาน)ที่เป็นปัญหามากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งคนเหล่านี้อาจออกโรงเรียนโดยมีเหตุที่ไม่พึงประสงค์ เป็นคนขี้เกลียด เลือกงาน ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น เหตุผลนั้นขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละบุคคล ซึ่งถ้าเปรียบกับตัวของข้าพเจ้านั้นคือ ข้าพเจ้านั้นมีอาชีพเป็นนักเรียน และข้าพเจ้าก็ขอยกตัวอย่างในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าดังนี้.... ในทุกๆเช้า จะต้องเดินทางออกจากบ้านไปโรงเรียนทุกวัน ในการเดินทางนั้นข้าพเจ้าเดินทางโดยรถรับเหมา ที่มีนักเรียนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันหลายคน และเมื่อถึงโรงเรียน ในแต่ละวันนั้น (ถ้าไม่ใช่วันหยุดราชการ) มีหน้าที่ที่จะต้องมาเรียนหนังสือ ซึ่งมีมารดาเป็นผู้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี แต่ในแต่ละวันนั้น เริ่มจากข้าพเจ้าเป็นพิธีกรทำกิจกรรมหน้าเสาธงทุกวัน ซึ่งในแต่ละวันมีเพื่อนนักเรียนเข้าแถวมากมาย ข้าพเจ้านั้นไม่อาจควบคุมพฤติกรรมหรือการแสดงออกของเพื่อนนักเรียนได้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละบุคคลอีกด้วย ข้าพเจ้าได้แต่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าต่อไปอย่างเต็มที่ ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าบอกกับเพื่อนและคุณครูว่าจะตั้งกฎและกติกาในการทำกิจกรรมหน้าเสาธง (ที่จะช่วยให้นักเรียนทุกคนตั้งใจทำกิจกรรม) คือจะต้องร้องเพลงชาติและสวดมนต์ไหว้พระอย่างตั้งใจและภูมิใจและพร้อมเพียงกัน ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะให้ปฏิบัติใหม่อีกรอบอย่างพร้อมกัน  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งกฎหรือกติกาดังกล่าวขึ้น เพราะถ้าอาจมองในแง่ลบมันจะเป็นผลเสียต่อทางโรงเรียน และข้าพเจ้าคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป และได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยการนำหลักธรรมคำสอนมากล่าวเตือนสติก่อนเคารพธงชาติทุกครั้ง จะมีเพื่อนที่ทำหน้าที่พิธีกรคู่กันกับข้าพเจ้าเป็นคนกล่าว เราได้แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน และจนทำให้นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มหันมาช่วยกันทำกิจกรรมหน้าเสาธงดีขึ้นมาตามลำดับ  และต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าเรียนตามปกติ ในการเรียนแต่ละวันนั้นจะเรียนอยู่ 7 วิชา ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเป็นประจำ และเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงข้าพเจ้าก็ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ อย่างมีความสุข และอิ่มมากๆ จากนั้นก็เข้าเรียนในช่วงบ่ายคุณครูท่านก็สั่งการบ้านในรายวิชาเคมี ซึ่งพอดีกับข้าพเจ้าชอบเรียนมากด้วย ชอบเคมี ซึ่งหลายวิชาเคมีนั้นหลายคนอาจว่ายากมาก แต่เดิมซึ่งข้าพเจ้านั้นชอบมักที่จะศึกษาเรื่องที่ยากๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะอยากพิสูจน์ อยากลอง อยากรู้ อยากปฏิบัติ ด้วยตนเอง และข้าพเจ้าก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้กลับมาแล้วทำการบ้านเคมีนี้จนเสร็จ และพร้อมที่จะส่งครู พอถึงวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็เดินทางไปโรงเรียนเหมือนเดิม และนำการบ้านที่ทำเสร็จไปส่ง แต่เพื่อนๆในห้องหลายคนยังไม่เสร็จเลย หรือไม่ว่าจะเป็นงานต่างๆก็ตาม รวมถึงการทำงานเป็นกลุ่ม และข้าพเจ้าก็ได้พูดออกมาว่า คุณครูสั่งให้ทำแล้วทำไมไม่ทำกันล่ะ รู้จักแบ่งเวลาให้เป็นสิครับ และมีเพื่อนคนหนึ่งลุกขึ้นและพูดจากับข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ เพราะเขาไม่ได้ทำการบ้านมาส่งครู และข้าพเจ้าก็พยายามอธิบายเหตุผลทุกอย่าง ว่าคุณอย่าใช้อารมณ์มาตัดสินปัญหานี้สิ ในการทำงานแต่ละครั้งนั้นจะต้องอาศัยกระบวนการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีเหตุผล คิดอย่างไม่ประมาท คิดอย่างรอบคอบ ซึ่งมันจะส่งผมเป็นภูคุ้มกันแก่ตัวของเธอเอง และจะทำให้คุณเดินห้ามผ่านปัญหานั้นไปและข้าพเจ้าก็สามารถอธิบายเหตุผลให้เขาคนนี้ได้เข้าใจถึงกระบวนคิดอย่างมีเหตุผลที่เป็นตัวชี้วัดแห่งการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และเขาก็ยอมรับฟังเหตุผลและคำแนะนำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวดังกล่าว และเพื่อนๆหลายคนเริ่มมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างใช้หลักการการ การแก้ไขปัญหาต่างๆ และในที่สุดจากทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมานั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าโดยทั้งสิ้น ข้าพเจ้าก็ได้มองว่า และข้าพเจ้าก็พอที่จะได้ข้อสรุปว่า “ปัญหาไม่ใช่อุปสรรคสุดท้ายที่จะต้องเจอหรือปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข ให้มองปัญหาเหมือนบทเรียนหนึ่งที่เราต้องผ่านพ้นไป แล้วก็จะได้สิ่งดีๆจากบทเรียนนั้น”  เหมือนที่ครูคอยย้ำเตือนอยู่เสมอ...ว่าปัญหาและอุปสรรคคือบทเรียนที่ดีที่สุด  และก็ได้รู้ว่าเพื่อนๆก็คิดเหมือนกับข้าพเจ้าเหมือนกัน

        ในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้านั้น เปรียบได้กับข้าพเจ้าได้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติได้เองตามกำลังของข้าพเจ้า และในการปฏิบัติหรือกระทำในแต่ละครั้งนั้นข้าพเจ้าคำนึงอยู่เสมอว่า จะต้องไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น จะต้องมีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และที่สำคัญ คือ “การมีจิตอาสา" นั่นคือเศรษฐกิจพอเพียงมิใช่เป็นเรื่องของคนคนเดียว มิได้สอนให้บุคคลรู้จักพึ่งพาตนเองอยู่เพียงคนเดียว แต่สอนให้บุคคลรู้จักเข้าช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังของตน เมื่อตนเองสามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างพอเพียงพอประมาณแล้ว ส่วนที่เหลือเก็บเหลือใช้ก็สามารถแบ่งปันเอื้อเฟื้อให้กับผู้อื่นได้อีก อันเป็นประโยชน์แก่ทั้งตัวเองและบุคคลอื่นๆ ก่อให้เกิดความรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะเกิดขึ้นการนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสมบรูณ์

 

หมายเลขบันทึก: 555929เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2013 14:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2013 10:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

"หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"

พอเพียง คือชีวี มีสติ
เปี่ยมปิติ ทุกกาล ทุกสถาน
ต่อตนเอง ผู้อื่น ด้วยชื่นบาน
ปฏิบัติ รับ-เจือจาน อย่างสมควร

แต่อย่า อย่าลืม เหล่าเพื่อนผอง
จมทุกข์กอง ห่างเพียงพอ ชีพผันผวน
เจ็บ-จน จึง หวังใจ เพี่อนทั้งมวล
รีบรีบด่วน รักแบ่งปัน กันและกัน

พรแสวงเหนือสิ่งอื่นใด

เยี่ยมๆๆๆๆๆเขียนบ่อยๆๆๆ

ฝีมือจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆๆอย่าท้อ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท