(63) เมื่อหมอ-พยาบาล อยู่ในภาวะ end-of-life


ดิฉันอยากตอบคุณผู้ตั้งคำถามว่า "ชีวิตเป็นของเรา หากเราไม่ตัดสินใจเลือกที่จะตาย ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจว่าหมอและพยาบาลจะรั้งความตายให้แก่เราจนสุดความสามารถอย่างแน่นอน ยกเว้นเสียแต่ว่าเราทุกข์ทรมานมากจนอยากตายเสียเอง"

วันนี้ดิฉันเปิดเข้าไปดูในเว็บของ Pal2know (https://www.facebook.com/pal2know) กรณีการตัดสินใจว่าผู้ป่วยระยะท้าย (end-of-life) อยากให้ใครตัดสินใจเรื่องนี้แทน ระหว่าง หมอ ญาติ หมอและญาติ ในเรื่องการปั๊มหัวใจ (ร้อยละ 22.4, 33.6 และ 44.1 ตามลำดับ) กับ การดูแลระยะท้าย (ร้อยละ 57.2, 28.3 และ 14.5 ตามลำดับ) ดิฉันสนใจคำถามของผู้สนใจท่านหนึ่งซึ่งถามว่า

“อยากรู้ว่าผู้ป่วยระยะท้ายที่เป็นหมอหรือพยาบาล ผลจะออกมายังไง ใครจะทำวิจัยบ้าง”

คำถามดังกล่าวสะท้อนมุมมองหลายแง่มุม ที่สำคัญดิฉันก็เคยถามตนเองในใจเช่นกัน ถามตนเองในบทบาทของพยาบาลคนหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายมานับไม่ถ้วน

เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ก่อนคุณพ่อของดิฉันจะถึงแก่กรรม ท่านมีอาการซึมเศร้าเพราะพิษความคิดถึงลูก (ตัวดิฉันเอง) ท่านเตรียมการสำหรับการตายของตนเองไว้หลายอย่าง แม้กระทั่งเตรียมเงินซื้อโลงศพให้ตนเอง พวกเราลูกหลานไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของท่านก็แปลความหมายไปว่าท่านน้อยใจและประชดลูกหลาน เมื่อท่านถึงแก่กรรมลงจึงไม่มีใครจัดการให้ตามความประสงค์ของท่าน

หลังจากนั้น ประเด็น ‘สิทธิผู้ป่วย’ เริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือกที่จะตายอย่างสงบ เช่น ขอไม่ให้ปั๊มหัวใจหรือช่วยฟื้นคืนชีพ ขอไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น แต่ประเด็นที่สังคมยังยอมรับไม่ได้คือ การขอให้หมอช่วยทำให้ตนเองตายด้วยการฉีดยาหรือหยุดการช่วยเหลือ เรื่องนี้ดิฉันก็มีประสบการณ์อีก คุณแม่ของดิฉันท่านป่วยเป็นโรคปอด มีอาการหอบเหนื่อย จนต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายท่านสั่งว่า

“ปล่อยให้แม่ตายอย่างสงบนะลูก อย่าใส่ท่อใส่สายระโยงระยางค์เหมือนล่ามกันเลย”

ดิฉันยังไม่ทันได้สั่งความกับหมอหรือพยาบาล เพราะท่านเข้าโรงพยาบาลตอนค่ำ เช้าไปเยี่ยมตั้งแต่เช้าพบว่าท่านถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่เมื่อคืน หมอกับพยาบาลพยายามยื้อยุดฉุดรั้งชีวิตท่านเต็มกำลัง ทั้งที่ท่านไม่ต้องการ! ดิฉันยังเสียใจจนทุกวันนี้ที่ไม่ได้ให้ในสิ่งที่ท่านขอ ทั้งสองกรณีเป็นตัวอย่างการตัดสินใจตายอย่างสงบด้วยตัวผู้ป่วยเอง บุพการีของพยาบาลคนหนึ่ง

ดิฉันมีตัวอย่างสุดท้ายเป็นพยาบาลรุ่นพี่ ท่านทราบว่าป่วยเป็นโรคร้ายท่านก็ดูแลรักษาตนเองมาตลอด ความที่เป็นพยาบาลจึงทราบว่าวาระสุดท้ายของตนเองใกล้เข้ามาเต็มที ท่านวางแผนทุกอย่างไว้ด้วยตนเอง รวมทั้งการดูแลระยะท้ายของชีวิตด้วย กรณีนี้เป็นไปตามความประสงค์ของท่านทุกประการ

ดิฉันอยากตอบคุณผู้ตั้งคำถามว่า

"ชีวิตเป็นของเรา หากเราไม่ตัดสินใจเลือกที่จะตาย ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจว่าหมอและพยาบาลจะรั้งความตายให้แก่เราจนสุดความสามารถอย่างแน่นอน"

ยกเว้นเสียแต่ว่าเราทุกข์ทรมานมากจนอยากตายเสียเอง .. ตอนนี้ยังมีสติ ร่างกายแข็งแรง ดูแลสุขภาพให้ดีไว้ดีกว่านะคะ จะได้ไม่ต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ แบบนี้ในเร็ววัน

หมายเลขบันทึก: 555048เขียนเมื่อ 1 ธันวาคม 2013 00:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2015 08:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ขอบคุณมากครับ สำหรับประสบการณ์ของครอบครัวที่นำมาแลกเปลี่ยน

บุคลากรสุขภาพอย่างเราๆ มีความรู้ประสบการณ์ตรงเรื่องภาวะใกล้ตาย ทั้งจากการที่ได้ดูแลผู้ป่วยในความรับผิดชอบ และผู้ใกล้ชิดอย่างกรณีของพี่ ผมจึงตั้งสมมุติฐานว่า เราน่าจะมีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างจากประชาชนทั่วไป

แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ แล้วเราจะได้รับสิ่งนั้นตามที่เราต้องการหรือไม่ เช่น อยากจะตายใน ICU เพราะคุ้นเคย หรือ อยากจะกลับไปอยู่บ้าน เราจะได้แบบนั้นมั้ย เพราะเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการจะต้องอยากช่วยเรากันอย่างเต็มที่

ดิฉันได้วางแผนสำหรับการ 'เป็นอยู่' และ 'จากไป' สำหรับตนเองไว้แล้วค่ะ ตัวอย่างหนึ่งคือ ดิฉันชอบความสงบของธรรมชาติ หากดิฉันตายไปก็ขอให้ครอบครัวนำส่วนหนึ่งของดิฉันไปฝังไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขาใหญ่ มาเยี่ยมกันบ้างปีละครั้ง หรือปีเว้นปีก็ได้ ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ดิฉันจะไปเยี่ยมพวกเขาเองค่ะ ทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียวว่า "แม่ไม่ต้องมา พวกเราไปหาเอง" (ฮา ..)

แผนของพี่เนี่ย ทำให้ผมคิดถึง นักดำน้ำที่อยากจะให้เอา ส่วนหนึ่งของตนเอง ไปวางไว้ตรงจุดดำน้ำที่สิมิลันเลย

ทำให้ต้องคิดต่อ แล้วเขาอนุญาต หรือครับ อยากรู้ อยากรู้

ดิฉันเขียนความเห็นแล้ว หายไปไหน? จะเขียนใหม่แต่คงไม่เหมือนเดิมทั้งหมดนะคะ

ดิฉันได้วางแผนการ 'เป็นอยู่' และ 'จากไป' ของตนไว้แล้ว ตัวอย่างหนึ่งคือ ดิฉันเป็นคนชอบความสงบของธรรมชาติ หากดิฉันตายไปก็ขอให้ครอบครัวนำส่วนหนึ่งของดิฉันไปฝังไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่บนเขาใหญ่ แล้วให้ครอบครัวมาเยี่ยมดิฉันบ้างปีละครั้งหรือปีเว้นปี แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ดิฉันจะไปเยี่ยมพวกเขาเอง ทุกคนขานรับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว "แม่ไม่ต้องมาหรอก พวกเราไปหาเอง" (ฮา..)

ผมว่า เป็นอาการของ Gotoknow ครับ

เราเขียนบันทึกแล้ว พอเข้ามาดูตอนแรกจะไม่เห็น ต้องรอพักใหญ่ หรือเปลี่ยนไปหน้าอื่นก่อน

ผมได้อ่านกลเม็ดเด็ดๆ ของพี่แล้ว ฮา จริง

เพิ่งจะมีโอกาสบันทึกและแสดงความเห็นแบบ real time สนุกดีนะคะ ขอต่ออีกนิดนะคะ เวลาเราไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสนใจแค่ 'ค่าธรรมเนียม' เท่านั้นค่ะ ดิฉันจะขนย้ายอะไรเข้าไปก็ได้ จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เมื่อดิฉันทำระเบิดหล่นสักลูกนั่นละค่ะ ..

คิดถึงคำขวัญ

อย่าทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้า อย่าเก็บอะไรไปนอกจากภาพถ่าย

มุกนะครับ ฮา ฮา

เขียนได้น่าอ่านและได้แนวคิดดีดีค่ะ ขอบคุณค่ะ

ของตัวเองเขียนหนังสือแสดงเจตจำนงค์ไม่รับบริการสาธาณสุขไว้ค่ะรวมถึงเรื่องบริจาคร่างกายด้วย ทำเสร็จแล้วให้คนในครอบครัวอ่าน พ่อกับน้องสาวเซ็นต์เป็นพยานให้ด้วย ที่บ้านยังฮาว่ามีทั้งไม่ใส่ETT ไม้CPRที่สำคัญไม่เข้า ICU

เพราะทำงานICU มาก่อนเลยไม่ตายในICU แต่ท้ายมี่สุดจะฝึกตัวเองให้ตายที่ไหนก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวดีที่สุด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท