ในงานเทา-งามสัมพันธ์ ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ผมได้รับเชิญเป็นวิทยากรนำเสวนาร่วมระหว่างนิสิต นักศึกษาและผู้บริหารสถาบันในเครือเทางามที่ประกอบด้วย ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (กรุงเทพฯ) ม.นเรศวร (พิษณุโลก) ม.ทักษิณ (สงขลา,พัทลุง) ม.บูรพา (ชลบุรี) และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มหาสารคาม)
จะว่าไปแล้วเวทีการเสวนาทำนองนี้ห่างหายไปจากโครงการเทา-งามสัมพันธ์ยาวนานไม่ใช่ย่อย
กระทั่งล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือน ผมเป็นหนึ่งในผู้คนเพียงไม่กี่คนที่พยายามกระตุกกระตุ้นให้เกิดเวทีแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน- เรียนรู้ผ่านมุมมองของ “นิสิต-นักศึกษา” และเชื่อมโยงมุมมองไปยัง “ผู้บริหาร” เพื่อก่อให้เกิดการบูรณาการทางความคิด สู่การออกแบบกิจกรรมและลงมือทำกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน
และที่สำคัญเลยก็คือการเพียรพยายามใช้เวทีดังกล่าวเป็นเวทีแห่งการสะท้อนให้เห็นพัฒนาการของงานเทา-งามสัมพันธ์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน เสมอเหมือนการ “ปฐมนิเทศ” การเข้าร่วมกิจกรรมฯ ดีๆ นั่นเอง
ครับ- เวทีเสวนาที่ว่านี้ ประหนึ่งชวนเชิญใครๆ ได้หวนทบทวน “ประวัติศาสตร์” ของโครงการนี้อย่างสุภาพ
อีกหนึ่งคือการเตรียมความพร้อม หรือถามทักและหนุนเสริมให้แต่ละคนมี “ทุนทางปัญญา” เกี่ยวกับโครงการนี้ร่วมกัน
ไม่ใช่ลงสู่ “เนื้องาน” แต่ปราศจากซึ่ง “ต้นทุนเดิม” ของโครงการ
ไม่ต่างอะไรจากการ “เดินหน้าฆ่าลูกเดียว” โดยไม่สนใจเหลียวหลังเบิ่งมองกลับไปยัง “ที่มาที่ไป” หรือ “ต้นสายปลายราก” ของเรื่องนั้นๆ
การเสวนาดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ภายใต้หัวข้อ “เทางามสัมพันธ์สร้างสรรค์สามัคคี” โดยมีนายกองค์การนิสิต จาก 5 สถาบันร่วมเสวนากับผู้แทนฝ่ายบริหารของสถาบันในเครือเทางาม จำนวน 1 ท่าน คือ ดร.อนุพันธ์ สิทธิโชคชัยวุฒิ (รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร)
ครับ-ผมได้รับเลือก (กึ่งเรียนเชิญและบังคับเจาะจง) ให้ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเสวนา ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากเหตุผลหลักสำคัญๆ คือ เป็นผู้ชูประเด็นให้เกิดเวที (จึงต้องรับผิดชอบ) เป็นคนช่างจดช่างจำ และเป็นเคยผ่านงานเทา-งามสัมพันธ์มาหลายยุคสมัย รวมถึงเคยเป็นนิสิตในเครือ “มศว” (ศรีนครินทรวิโรฒ) มาก่อน จึงพอมองเห็นร่องรอยการเชื่อมต่อทางปรากฏการณ์ต่างๆ ได้บ้าง
ผมเปิดเวทีด้วยการบอกเล่าสังเขปการก่อเกิด "เทา-งามสัมพันธ์" อย่างรวบรัด
จากนั้นจึงถามทักผู้เข้าร่วมเสวนาในประเด็น “มุมมองที่มีต่อเทา-งามสัมพันธ์” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการนิยามความหมายของ “เทา-งามสัมพันธ์” ของแต่ละคน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีมุมมองไม่ต่างกัน นั่นก็คือ “พี่น้องมาพบปะสังสรรค์กัน”
พร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมบริการสังคมร่วมกัน ผ่านกิจกรรมหลักคือกีฬา วิชาการ ศิลปวัฒนธรรม และอาสาพัฒนา
ทันทีที่เสร็จสิ้นการสะท้อนมุมมองของแต่ละคน
ผมไม่รั้งรอที่จะขมวดนิยามเหล่านั้นง่ายๆ ในสไตล์ที่ผมถนัด นั่นก็คือ “บันเทิง-เริงปัญญา” อันหมายถึงการพบปะสังสรรค์ดังกล่าว ไม่ใช่ “ดู-แดก-ดิ้น” หรือ “เฮฮาปาร์ตี้” อย่างที่คิด
หากแต่หมายถึง การมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกันและกัน ทั้งในมิติการเรียน การใช้ชีวิต การทำงานของนิสิตและบุคลากรในสาย “พัฒนานิสิต” หรือ “กิจกรรมนิสิต”
และการแลกเปลี่ยนที่ว่านี้ ก็ดำเนินคู่ไปกับ "กิจกรรมทางสังคม" หรือ “บริการสังคม”
กระบวนการเหล่านั้น จึงหนุนเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์บนฐานวัฒนธรรมของแต่ละสถานศึกษา
รวมถึงการร่วมเรียนรู้วิถีอันเป็นบริบทของชุมชน หรือสถานที่ของการจัดกิจกรรมไปในตัว
ด้วยเหตุนี้นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม จึงมีสถานะสำคัญคือ นำพาองค์ความรู้และวัฒนธรรมของตนเองไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนิสิตนักศึกษาต่างสถาบัน
รวมถึงการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนกับ “ชุนชน” อย่างเสร็จสรรพภายใต้หลักคิดสำคัญของการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ “เรียนรู้คู่บริการ” ไม่ใช่ขับเคลื่อนกระบวนการภายใต้หลักคิดการเป็น “นักสังคมสงเคราะห์”
แน่นอนครับ โดยเนื้อแท้ประเด็นนี้ ผมพยายามปลุกเร้าให้ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งอาจารย์ เจาหน้าที่ นิสิต ได้ตระหนักถึงสถานะของกิจกรรมของตนเองว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากิจกรรมอื่นๆ ที่ถูกกล่าวถึงอย่างออกหน้าออกตาในสังคม
ซึ่งบางทีเมื่อเทียบรุ่นต่อรุ่น จังหวะต่อจังหวะ อาจเทียบไม่ได้เลยกับงาน “เทา-งามสัมพันธ์” ซึ่งก่อเกิดและดำเนินการยาวนานมากว่า 2 ทศวรรษ
เพียงแต่ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าไม่มีการถอดบทเรียนให้เห็นชุดความรู้และพลังแห่งการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง จนทำให้งานเทา-งามสัมพันธ์กลายเป็นกิจกรรมชายขอบในมหาวิทยาลัย รับรู้กันในวงแคบเฉพาะฝ่ายพัฒนานิสิต
หรือแม้แต่ถูกตีตราว่าเป็นกิจกรรม “พบปะสังสรรค์” เท่านั้นเอง
และถัดจากนั้น
ผมก็ชวนเสวนาหลากประเด็น บ้างก็ให้แต่ละคนบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตในเวทีเทา-งามสัมพันธ์ เพื่อสะท้อนเรื่องราวกิจกรรมของแต่ละปีย้อนหลังไปในตัว
เช่นเดียวกับการถามทักถึงสิ่งที่แต่ละคนได้รับจากการเข้าร่วมงานเทา-งามสัมพันธ์ ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และในแง่มุมอันชวนหดหู่
และนอกจากนั้น ยังเปิดประเด็นให้แต่ละคนได้เสนอแนวคิดของการจัดงานเทา-งามสัมพันธ์ โดยกล่าวย้ำว่าให้ “พูดแบบจริงจัง จริงใจ” มิใช่ “เขินอาย” หรือ “หวั่นเกรง” กับระบบ ซึ่งมีประเด็นหลายประเด็นที่นิสิตและผู้บริหารได้เปิดเปลือยทิ้งไว้ให้พิจารณาสู่การขับเคลื่อนต่อไป เช่น
ครับ- จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวทีที่ว่านั้น ยังคงแจ่มชัดในหัวสมองของผม
ผมสุขใจกับการได้รับเชิญเพื่อทำหน้าที่ชักพาใครๆ ได้หันไปทบทวนประวัติศาสตร์ของตนเองร่วมกัน
ผมสุขใจกับการได้รับเชิญเพื่อทำหน้าที่เปิดเวทีให้นิสิตและผู้บริหารได้สะท้อนมุมมองร่วมกันอย่างไม่มีพรมแดน เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง มิใช่ผู้ใหญ่คิดและให้เด็กๆ ได้ทำตามในทุกกระบวนยุทธ
และสุขใจที่นิสิตนักศึกษามีเวทีแห่งการบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตผ่านงานเทา-งามสัมพันธ์
เพราะถ้าไม่ใช่เวทีนี้ ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีเวทีการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นรูปธรรม และมีพลังสักแค่ไหน ลำพังพบปะแลกเปลี่ยนกันในโลกอินเทอร์เน็ต ก็ยากยิ่ง
เพราะคงเป็น “บันเทิง” มากกว่าการเป็น “บันเทิง เริงปัญญา”
ครับ-ที่เหลือ ยังคงต้องลุ้น หรือแม้แต่ช่วยกันในทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับงานเทา-งามสัมพันธ์ให้มีที่ยืนอย่างมีตัวตนในแต่ละสถานศึกษา และรวมพลังสร้างสรรค์กิจกรรมให้ได้รับความเชื่อมั่นว่านี่คืออีกหนึ่งทางเลือกของการ “พัฒนานิสิตนักศึกษาไทย” เพื่อให้เติบใหญ่เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคมไทย (หรือแม้แต่สังคมโลก)
เพราะเป็นกระบวนการของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนิสิตกับนิสิต-ระหว่างนิสิตกับชุมชน
รวมถึงการหนุนเสริมให้นิสิตได้เกิดการเรียนรู้ทักษะชีวิตผ่านการลงมือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนต่างสถาบันและชุมชน ซึ่งล้วนก่อเกิดและถูกหล่อหลอมมาจากวัฒนธรรมและต้นทุนที่มีทั้งเหมือนและต่างกัน-
และที่แน่ๆ คือกระบวนการเรียนรู้ในหลักคิด "เรียนรู้คู่บริการ" (บันเทิง เริงปัญญา) ที่ยึดโยงถึงกลไกแห่งการบ่มเพาะเรื่องจิตอาสา หรือจิตสำนึกสาธารณะอย่างไม่ต้องกังขา -
สวัสดีค่ะอาจารย์
สวัสดีครับ พี่ มนัสดา
โครงการเทางามสัมพันธ์ฯ เป็นเสมือนความร่วมมือทางใจของ 5 สถาบันที่เคยเป็นวิทยาเขตในความเป็น "มศว" ...
ทุกการปิดภาคเรียนต้น จึงนำนิสิตเข้าร่วมพบปะจัดกิจกรรมร่วมกัน เน้นการแลกเปลี่ยนและบริการทางสังคม ผ่านกิจกรรมกีฬา วิชาการ ศิลปะวัฒนธรรม และอาสาพัฒนา โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี และในแต่ละปีนั้น สถาบันต่างๆ ก็จะได้รับมอบหมายการเป็นเจ้าภาพในกิจกรรมแต่ละด้าน...
เป็นกระบวนการหนึ่งในการพัฒนานิสิตผ่านระบบและกลไกกิจกรรมนอกชั้นเรียนครับ...
ทุกมหาวิทยาลัย จะมีกิจกรรมบังคับเหมือนกันคือสอนการแสดงของแต่ละภูมิภาคให้กับเด็กๆ ในชุมชนที่ไปออกค่าย จากนั้นก็ให้เด็กๆ เหล่านั้นได้แสดงให้ผู้ปกครองได้ดูชมในวันปิดค่าย...พร้อมๆ กับมอบอุปกรณ์การแสดงเหล่านั้นไว้ให้เด็กๆ และโรงเรียนต่อยอดกันต่อไปครับ
กึ่งบังคับเจาะจง จนได้สาระแบบสบาย ๆ นะคะ