ช่วง ๒ สัปดาห์ที่แล้ว พี่ภัครกลับมาเยี่ยมบ้าน...หลังจากส่งบทที่ ๔ ให้อาจารย์ที่ปรึกษาอ่านแล้ว...เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ พี่ภัครได้กลับ กทม. แม่ไปส่งพี่ภัครในตอนเช้า...พี่ภัครบอกแม่ว่า...เตรียมจัดทำบทที่ ๕ - ๖ ต่อเพื่อที่จะให้ทันสอบป้องกันปลายปีนี้...
เมื่อช่วงที่มาบ้าน...ส่วนใหญ่พี่ภัครจะไปอยู่ช่วยพ่อเรที่บ้านที่พรหมพิราม โดยช่วยน้องเพรียงทำนา เพราะปีนี้ น้องเพรียงทำนาเองทั้งหมด ๔๕ ไร่ (โดยทำคนเดียวทั้งหมด)...พี่ภัครเล่าให้แม่ฟังว่า...ไปช่วยน้องเพรียงยกท่อสูบน้ำ (เป็นเหล็กยาว ๆ) พี่ภัครบอกว่า..."หนักมากกกกกก"...คริ ๆ ๆ แทบยกไม่ไหว...แม่นึกขำ...เออ!!! นี่แหล่ะหนอคนที่มันเอาแต่เรียน พอมาทำงานหนัก แทบทำไม่ได้...เขาจึงเรียกว่า "ได้สัจธรรมเสียจริง ๆ"...ผิดกับน้องเพรียง...รายนั้นหนักเอาเบาสู้ ไม่เคยบ่น...
แม่จึงเปรียบเทียบระหว่างลูกของแม่สองคน...ทำให้แม่ได้เรียนรู้ชีวิตของแม่เองว่า...คนหนึ่งเก่งแต่เรียน อีกคนหนึ่งเก่งทักษะชีวิต...ผิดกันมาก...เหมือนกับลูกสองคนเกิดมาเพื่อสอนให้แม่ได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตคนเรานั้นมีส่วนประกอบเพียง ๒ ด้าน"...ด้านหนึ่ง คือ การเรียนรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งใบปริญญาวิชาชีพ ด้านหนึ่ง คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง...ชีวิตคนเรามีเพียงเท่านี้จริง ๆ...ในความคิดของแม่ ๆ คิดว่า...ชีวิตมีเท่านี้ สำหรับส่วนอื่น ๆ จะเป็นเพียงส่วนประกอบ...
แม่จึงเห็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ และก็ขอปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน...ไม่โลภ ไม่กล่าวร้าย ไม่เบียดเบียนคนอื่น...เพราะแม่ไม่ต้องการมีเวรกรรมต่อผู้อื่น...เพราะแม่รู้ตัวเองว่า...ชาตินี้แม่คงมีเวรกรรมเก่าที่ติดตัวมาบ้างแต่ก็ไม่มาก เพราะไม่เช่นนั้นในชาตินี้ ถ้าแม่มีกรรมเก่ามากมาย แม่คงไม่มีชีวิตที่มีความสุขแบบนี้หรอก...(สุขที่เรารู้จักพอ...)เพียงเท่านี้ ทุกวันนี้ แม่ก็มีความสุขเพียงพอแล้วต่อการดำเนินชีวิตแล้ว...แม่เชื่อแบบนั้น...
เมื่อวานนี้ เมื่อพี่ภัครกลับไปถึง กทม. ก็ได้ส่งข้อความใน FB มาให้แม่เป็นบทกลอนสอนใจและก็ชวนให้คิด...ดังนี้
เมื่อวันนี้ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แม่ถาม "ฟ้าคราม" ขณะแม่พามาทำงานที่ ม. ด้วยว่า "ลุงภัคร" ไปไหนน๊า?..."ฟ้าคราม" บอกแม่ว่า..."ลุงภัคร" ไปเทพฯ มั้ง...รู้ดีไปหมดจร้า..."ฟ้าคราม"...
ขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ :)...