ก่อนนอนในคืนหนึ่ง รู้สึกใจวุ่นวาย ผมจึงใช้วิธีหายใจเข้าออกยาวๆ ในขณะที่เอามือวางที่หน้าท้อง เพื่อรู้สึกความเคลื่อนไหวขึ้นลงของท้อง
แว็บหนึ่งในความคิด เกิดความเข้าใจว่า แม้เราจะพยายามหายใจให้ยาวๆ แต่เราก็ไม่สามารถหายใจเข้าได้นาน หรือหายใจออกได้นานอย่างที่เราอยากให้เป็น ในที่สุดเราก็ต้องหายใจออกภายหลังหายใจเข้า และต้องหายใจเข้าภายหลังหายใจออก
เปรียบเสมือน ธรรมชาติที่เป็นของที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การที่เราอยากจะให้ทุกสิ่งเหมือนเดิมที่เคยเป็น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
จำได้ว่า ท่าน ป.อ. ปยุตโต เคยสอนว่า สาเหตุใหญ่ที่คนเรามีความทุกข์ในทุกวันนี้ ก็เพราะฝืนธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งปกติที่่ทรัพย์สิน คนรัก ความสุขมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ถ้าเราอยากให้ทรัพย์สินมีอยู่เหมือนเดิม คนรักเราเหมือนเดิม หรือความสุขอยู่กับเราตลอดไปเหมือนเดิม แปลว่าเรากำลัง "ฝืน" ธรรมชาติ วันหนึ่งเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดเปลี่ยนแปลงไป เราจึงเกิดความ "ทุกข์" นั่นเอง
การที่เราจะหลีกหนีความทุกข์ ก็คือเราต้องรู้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ แล้วทำความเข้าใจกับมันด้วยปัญญา
การที่มนุษย์มีกิเลส ตัณหา ราคะ นั่นก็เป็นหนึ่งในธรรมชาติ จงอย่าไปอวดอ้าง อุตริ ตัดๆๆๆมัน เพราะ นั่นก็ฝืนธรรมชาติ
ฉะนั้นผู้ที่แทรกเข้ามาทำตัวคล้ายมหาบุรุษท่านใดก็ตาม ทุกท่านก็ไม่สามารถตัดในกฎที่ตนมิใล่ผู้ออกกฎนั้นได้สักคนเดียว
การตัดนั้น คือสิ่งอวดอ้างเกินสิทธิ์ อย่าฝืนธรรมชาติต่อไปเลย สังคมแจ้งชัดแล้ว นี่มันยุคใดแล้วล่ะ
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ บันทึกไว้ ในเรื่องความสุข ที่มิใช่พยากรณ์
คือ สารแห่งความสุข อันจะก่อสมดุล คือ สารชื่อ เอนโดฟีน จะหลั่งเมื่อเราทำสิ่งใด เป็นภาระหน้าที่ ไม่มีอามิสสินจ้างรางวัล แม้แต่บุญ หรือ บารมีก็ตาม
ส่วนสารอรกทิศทาง คือ สาร อาดีนารีน ที่ ก่ออันตรายแก่ร่างกาย เมื่อมันหลั่ง
แต่สารแห่งความสุข จะหลั่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเหตุใด ระหว่างภาระหน้าที่ กับ การเชื่อเรื่องจะเอาบุญบารมี หรือ การตกเป็นทาสต่อความเชื่อ ความจำยอม ตำรา และกุสโลบายล่ะ
อย่ามัวแต่ตก หรือถูกปิดกั้น ในพยากรณ์ คาดเดา มายาคติ ตำรา ความเชื่อ วรรณกรรมต่อไปเรื่อง สุข เรื่องทุก ว่า จิตไปปรุง
แต่จงค้นหาผู้ออกกฎนั้นให้มนุษย์ ผู้สร้างมนุษย์ เพื่อ กตัญญูกันได้เท่าเทียมชาวโลก อย่างเปิดเผยกันให้ เร็ววัน และ ทันสุขเถิด