ความตายที่งดงาม ๒


ความตายที่งดงาม ต่อ

           ๒๔ กันยายน

            พี่พรต้องใช้ออกซิเจนตลอดเวลา ชามากขึ้นและพูดได้น้อยลง รอบห้องมีกระดาษเขียนข้อปฏิบัติต่างๆ ติดไว้ทั่ว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถังออกซิเจน การพลิกตัว หรือการเปิดปิดประตู ผมรับรู้ความละเอียดมากขึ้นของพี่พรจากจอห์นและเพชร ผู้ซึ่งบางครั้งก็ถูกความละเอียดของพี่เล่นงานเอาเหมือนกัน คนดูแลได้มีโอกาสนั่งคุย ให้กำลังใจกัน ระบายความในใจที่ระเบียงนอกห้อง ต่างเข้าใจสภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปของพี่ แต่สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราต่างรับรู้ด้วยก็คือ สภาพภายในของเราแต่ละคนที่ปรับตัว ที่ดีขึ้นจากการได้มาอยู่ดูแลพี่พร เพชรเองก็เล่าว่า พี่พรก็ปรับตัว ขอโทษเวลามีอารมณ์ ดีขึ้นเช่นเดียวกัน

            หากจะมีบทเรียนสอนใจเพื่อปรับจิตวิญญาณของคนเราให้ดีขึ้น สถานการณ์เช่นนี้แหละที่เป็นบทเรียนชั้นเลิศ คืนนั้นผมจึงกลับบ้านด้วยความรู้สึกเหมือนกับมีดอกไม้บานอยู่ในใจของตนเอง

            ๒๖ กันยายน

            พี่พรเหนื่อยมากขึ้นจนต้องใช้ออกซิเจนผ่านหน้ากากที่เตรียมไว้ แต่ยังยิ้มและคุยกับคนที่มาเยี่ยมหลายคนได้ เรานั่งสมาธิหมู่กัน ซึ่งเป็นวิธีที่พี่มักปฏิบัติอยู่เป็นประจำ

            จังหวะหนึ่งที่คนเยี่ยมน้อยลง คุณแม่ของพี่จึงเข้ามานั่งข้างเตียงและจับมือพี่เอาไว้ ผมนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งจับมือของพี่เช่นกัน ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมคิดถึงบทความของพี่เรื่อง "คือมือแม่...ที่เยียวยา" มันอธิบายทุกตัวอักษรที่กล่าวไว้ได้อย่างงดงาม ผมนั่งมองภาพนั้นเงียบๆ อยู่นานด้วยความประทับใจ ตื้นตัน

            พบกับฑูรย์..น้องชายคนสนิทของพี่พรเป็นครั้งแรก ซึ่งตั้งคำถามที่น่าคิดกับผมว่า "อะไรที่ทำให้คุณหมอมาดูแลพี่พรอย่างใกล้ชิด" ผมตอบฑูรย์ไปว่า เพราะพี่เขาสอนและช่วยเหลือผมหลายเรื่อง และมันก็เป็นงานที่ผมทำอยู่แล้ว ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการมาดูแลพี่ คิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลดี แต่หลังจากการคุยกันครั้งนั้น ผมได้มีโอกาสกลับมาไตร่ตรองคำถามนี้ใหม่อีกครั้งกับตนเอง แล้วก็พบว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่ผมยังไม่ได้บอกฑูรย์ นั่นคือ ที่รอบๆ เตียงของพี่พรมีสิ่งดีๆ มีความรัก ความเสียสละ การให้อภัย อย่างไม่มีเงื่อนไขของสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนสนิทของพี่ และสิ่งนี้เองที่สามารถดึงดูดตัวผมให้เข้าไปหาได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ผมจะกลับจากการไปเยี่ยมพี่ทุกครั้งด้วยปิติสุขที่ได้สัมผัสพลังของสิ่งเหล่านั้น

            ๓ ตุลาคม

            อาการเหนื่อย แสบร้อนกลางหลังและอัมพาตของพี่พรมากขึ้นตามลำดับจากรอยโรคที่กดทับไขสันหลังสูงขึ้น ถ้าเป็นผู้ป่วยคนอื่นที่ผมเคยเห็นในโรงพยาบาลก็คงจะทุกข์ทรมานมากทีเดียว แต่พี่กลับค่อนข้างสงบ อย่างไรก็ตาม มันทำให้ผมต้องเพิ่มยาอีกตัวหนึ่งเพื่อช่วยบรรเทาความปวดจากระบบประสาทนอกเหนือจากมอร์ฟีนที่พี่รับประทานอยู่สม่ำเสมอแล้ว ตามคำแนะนำของคุณหมอลักษมี ชาญเวชช์ ผู้เชี่ยวชาญการระงับปวด

            ๖ ตุลาคม

            พี่ฟ่งและพี่แอ๊ดคุยกับผมก่อนไปเยี่ยมพี่พรว่า จะต้องดูแลให้ครบทุกด้านรวมถึงครอบครัวด้วย ตกลงกันว่าคงต้องมีใครสักคนดูแลคุณแม่บ้าง เมื่อไปถึงพี่ฟ่งจึงแยกไปคุยกับคุณแม่ในห้องครัว ผมนั่งลงข้างเตียงพี่กับจอห์น พี่ยังยิ้มและพูดผ่านหน้ากากออกซิเจนที่ครอบใบหน้าอยู่ ด้วยเสียงที่เปลี่ยนไปบ้างไม่ชัดเจนเหมือนก่อน วันนั้นพี่ตกลงจะใช้ยานอนหลับเป็นครั้งคราวเมื่อรู้สึกเหนื่อยมาก ผมจึงถามพี่ว่า "พี่ยังอยากพบหรือพูดกับใครอีกหรือเปล่า เพราะเมื่อเริ่มใช้ยาแล้ว พี่อาจรู้สึกตัวไม่เต็มที่"

            พี่บอกว่า..ไม่มีแล้ว "พี่พร้อมจะไปแล้ว ไม่ได้มีห่วงอะไร"

            ประโยคนั้นจากปากของพี่ ทำให้ผมกล้าถามคำถามหนึ่งต่อ "แล้วถ้าถึงเวลานั้นของพี่ พี่อยากให้ใครเป็นคนบอกทางครับ" พี่พรเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะบอกชื่อคนสามคนด้วยกันอย่างช้าๆ..จอห์น พี่สุรภี และฑูรย์   แต่เมื่อตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ในที่สุดพี่ก็เลือกฑูรย์ น้องชายคนสนิทเป็นลำดับแรก

            ผมได้สื่อสาระสำคัญข้อนี้ให้คุณแม่ พี่จรรยาและทุกคนทราบ และช่วยกันคิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปบ้าง เราเห็นตรงกันว่าคงต้องตามคนที่ยังไม่ได้พบและพูดคุยกับพี่มาได้แล้ว

            ๑๐​ ตุลาคม

            พี่พรลืมตาขึ้นมาพูดทักทายสั้นๆ ด้วยเสียงในลำคอ และส่งยิ้มให้คนที่มาเยี่ยมเป็นพักๆ แล้วก็หลับไป เราจึงนั่งจับกลุ่มคุยกันเองที่อีกมุมหนึ่งของห้อง วางแผนร่วมกันเรื่องการพูดและปฏิบัติกับพี่ ตกลงกันว่าจะทำไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้พี่รู้สึกสับสน สำหรับการบอกทางนั้น ฑูรย์เป็นคนเสนอให้เคาะระฆังแทนการพูดนำทาง เพราะเป็นเสียงที่พี่ชอบและชินหู ร่วมกับเปิดเทปธรรมะของท่านพุทธทาสเพื่อสร้างบรรยากาศที่พี่คุ้นเคย จะได้น้อมนำจิตของพี่ให้ไปสู่ความสงบและปล่อยวาง

            วันนั้นท่านอาจารย์โกสินทร์ พระที่พี่เคารพมากแวะมาเยี่ยม ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ความสงบขณะท่านนั่งอยู่ข้างเตียง มันมีค่ากว่าสิ่งอื่นใด

            ๑๔ ​ตุลาคม

            หลวงพี่ไพศาลมาเยี่ยมพี่พรอีกครั้งทั้งๆ ที่ท่านเองก็สุขภาพไม่ดีนัก ท่านได้มาเป็นแสงสว่างส่องทางสุดท้ายให้พี่พร น้ำเสียงอ่อนโยนที่ท่านพูดถึง "ธรรมยาตราด้วยใจ" กับพี่ซึ่งยังมีสติรับฟังอย่างสงบนั้น ทั้งจับใจและเป็นประโยชน์ต่อพวกเราที่มีโอกาสนั่งฟังอยู่ด้วยเป็นอย่างยิ่ง

            คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่จอห์นจะอยู่ดูแลพี่พร โดยมีพี่สุรภีมารับช่วงต่อ เนื่องจากเขาจะต้องเดินทางไปศรีลังกาเพื่อพบกับครอบครัว นัดหมายเดียวที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ หลังจากที่นัดหมายอื่นๆ ถูกเลื่อนไปจนหมด เพื่อให้เขาอยู่กับพี่ได้นานที่สุด เขาบอกกับผมว่ามันจะเป็นคืนที่พิเศษ

            ๑๖ ตุลาคม

            พี่พรเริ่มไม่รู้สึกตัวแต่ยังหันหน้าตามเสียงบ้าง โดยที่ก่อนหน้านั้น พี่ยังมีสติได้พบกับบุคคลสำคัญที่พี่เคารพนับถือหลายท่าน อาทิเช่น คุณแม่ชีศันสนีย์ หลวงพี่ไพศาลและท่านอาจารย์จำรัส

            วันนั้นคุณแม่ พี่โรจน์ พี่สุรภี พี่ฟ่ง ฑูรย์และผมนั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตกลงว่าเราจะไม่ใส่สายยาง ไม่แทงน้ำเกลือหรือทำอะไรที่มากไปกว่านั้น ตั้งใจจะให้พี่จากเราไปอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด

            ผมอยู่ดึกกว่าทุกวันจนเราปิดไฟมืดลงและนั่งฟังเทปเสียงหลวงพ่ีไพศาลด้วยกันจนจบ ก่อนจะลากลับผมเหลือบไปเห็นหมอนที่พี่พรหนุนนอนอยู่ มันเป็นหมอนของผมที่เอาไปให้พี่ลองใช้ตอนปวดต้นคอก่อนหน้านั้น มีอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องก้มหน้าลงไปเกือบชิดข้างหูของพี่ แล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจ..เป็นครั้งสุดท้ายกับพี่

            "ผมอยากจะขอบคุณพี่สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ได้ให้กับผม มันช่วยทั้งตัวผมเอง คนรอบข้างและผู้ป่วย ถ้าหากมีบุญกุศลอันใดที่เกิดขึ้นจากสิ่งนี้ ก็ขอช่วยดลบันดาลให้พี่ได้เดินทางสู่จุดหมายที่มุ่งหวังไว้ด้วยความสงบนะครับ และถ้าผมทำอะไรที่ไม่ดี ไม่ทันใจ ทำให้พี่ทุกข์ทรมาน ผมก็ต้องขอโทษพี่ด้วย ..หมอนที่พี่หนุนอยู่นั้น มันเคยเป็นของผม ผมนอนหลับฝันดีมาตลอด แต่ตอนนี้มันเป็นของพี่แล้ว ก็ขอให้พี่นอนหลับฝันดีด้วยเหมือนกัน"

            ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๖

            บ่ายสองกว่า เกษโทรศัพท์มาบอกผมที่โรงพยาบาลว่าพี่พรจากเราไปแล้วอย่างสงบ โดยมีคุณแม่นั่งอยู่ข้างๆ และมีเสียงระฆังเคาะนำทางเป็นระยะตลอดเวลา

            เมื่อผมกับพี่ฟ่งไปถึง พี่พรดูเหมือนคนนอนหลับอย่างสบายเมื่อไม่มีหน้ากากออกซิเจนครอบใบหน้าอยู่ ผมจึงทำหน้าที่สุดท้ายในฐานะหมอให้พี่ คือการตรวจยืนยันการเสียชีวิต ก่อนไปคุยกับคุณแม่ แล้วออกไปนั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ในสวนนอกบ้าน รอบข้าง..หลายคนกำลังช่วยกันเตรียมงานต่างๆ มากหน้าหลายตา มีญาติพี่น้องและเพื่อนของพี่ที่ผมไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนมาช่วยงานกันหลายคน ไม่มีใครร้องไห้ฟูมฟาย ไม่มีใครที่ต้องปลอบประโลม

            ไม่ว่าจะเป็นในฐานะใดก็ตาม ผมเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นของบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพี่ ความจริงแล้วมีคนอีกหลายต่อหลายคนนัก ที่ผมไม่ได้พบและไม่ได้กล่าวถึง ที่ต่างก็มีส่วนช่วยให้การเดินทางในช่วงที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของพี่นี้ ดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์์

            เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นบ้านถั่วพูทั้งหลังในเวลากลางวัน จึงรู้สึกว่าบรรยากาศวันนั้นดูสว่างไสว แม้จะมีลมพัดจนใบไม้ร่วงกราว และฝนเดือนตุลาที่ตกลงมาปรอยๆ ตามธรรมชาติ..อย่างงดงาม

 

หลายคนอาจสงสัยว่า

หมอพยาบาลพวกนี้ไม่รู้จักกาลเทศะหรือไง

ยิ้มหัวเราะกันหน้าบาน เวลาไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะท้ายท่ี่บ้าน

คนกำลังจะตาย ยังยิ้มกันอยู่ได้

 

จะไม่ให้พวกเราหัวเราะ ยิ้มได้อย่างไร

ก็ในเมื่อผู้ป่วยที่เราไปเยี่ยม พี่พร ก็กำลังยิ้ม หัวเราะกับเรา

หมายเลขบันทึก: 551743เขียนเมื่อ 25 ตุลาคม 2013 19:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 ตุลาคม 2013 12:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

เห็นด้วยนะคะ การจากไปก็เหมือนหมดวาระของชีวิตลง ไม่ทุกข็ ไม่สุขอีกต่อไป

จากไปท่ามกลางความสุข ....... สงบ .......และมีสติ .......

การร้องไห้ คร่ำครวญให้คนกำลังจากไป หรือแสดงสีหน้าแห่งความทุกข์ จะทำให้คนที่กำลังจากไปมีห่วง มีกังวล .....

....... เป็นกำลังใจให้กับคุณหมอเต็มศักดิ์และพยาบาล ได้ทำหน้าที่นี้ด้วยความสุขใจ และเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ค่ะ ...

ขอบคุณบันทึกดีๆ...ที่ผมเกือบไม่ได้อ่าน

ขอบคุณค่ะอาจารย์ ที่แบ่งปัน 

เป้นการจากไปที่งดงามมาก

ไม่มีเครื่องมือแพทย์รุงรัง

ขอบคุณคุณหมอที่สอนเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายครับ

เอาผักมาฝาก

  • ความรู้สึกของคนข้างหลังนี่แตกต่างกันนะครับ ผมเจอทั้งร้องไห้คร่ำครวญจนถึงยิ้มอย่างโล่งอก
  • เพิ่งรู้ว่ามาร์ทใช้ G2K ด้วย แต่ไม่เห็นเขียนบันทึก
  • รู้สึกว่า แก่ เลย พอต้องมาทบทวนความหลังแบบนี้ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท