สมุนไพร ตามแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉ.6 ตัวที่ 3 ที่ทั้งไทย มอญ เทศ ฯลฯ ต่างให้ความสนใจ
นำไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่มและปรุงอาหาร รวมทั้งเป็นตัวอย่าง คือ กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นที่นิยมปลูก
เช่น กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง)
ผักเก็งเค้ง ส้มเก็งเค็ง (ภาคเหนือ)
ส้มตะเลงเคลง (ตาก)
ส้มปู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)
ที่มา:http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Hibiscus_sabdariffa_(1).jpg
กระเจี๊ยบได้ถูกนำไปศึกษาวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ช่วยให้เกิดความั่นใจ และเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยสูงยิ่งขึ้น
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระเจี๊ยบตามตำราของกระทรวงสาธารณสุข
ตามแผนพะฒนาการสาธารณสุข ฉ. 6นั้น ยังเป็นเพียงข้อมูลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ บวกกับความคุ้นเคย
และความเชื่อมั่นในสรรพคุณยาตามภูมิปัญญา และบรรพบุรุษ ทำให้กระเจี๊ยบถูกนำมาใช้ทั้งในรูปของอาหารและเครื่องดื่ม
รวมทั้งเป็นยารักษาโรคได้เป็นอย่างดี และยังเป็นยาลดความดันโลหิตสูง
โรคเรื้อรังยอดฮิตของคนไทยได้ด้วย กระเจี๊ยบเป็นที่สนใจของนักค้นคว้า นักวิจัยได้หันมาจับกระเจ๊๊ยบเป็นตัวศึกษา
ทั้งนี้เพื่อเข้าถึงคุณค่าทางเภสัชและการรักษา ของกระเจี๊ยบไทยที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ชาติ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
ลักษณะของพืช กระเจี๊ยบเป็นพืชที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเล็ก มีความสูงตั้งแต่ 3 -6 ศอก
ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงอมแดงจัด ใบมีหลายแบบ ขอบใบเรียบ บางครั้งจะเห็นใบมีลักษณะเป็นหยัก
และใช้ประกอบอาหารได้ดีและเพิ่มรสชาติให้อร่อยอีกด้วย
กระเจี๊ยบที่นิยมใช้เป็นยานั้นมีสีดอกเป็นสีชมพู
ขอบคุณภาพกระเจี๊ยบจาก:http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=lastmoon&month=30-10-2009&group=5&gblog=24
ตรงกลางดอกจะมีสีเข้มและสีจะค่อยๆอช่อนลงจนถึงปลายกลีบ เมื่อกลีบดอกร่วงโรยไป
กลีบดอกรอง และกลีบเลี้ยงจะเจริญขึ้นมาทำหน้าที่ห่อหุ้มเมล็ดไว้มีลักษณะสีแดงเข้มดังภาพ
ขอบคุณที่มาของภาพและข้อมูลอาหารเพิ่มเติมจาก:
http://www.panmai.com/Food/List_09.shtml
ส่วนที่ใช้เป็นยาคือกลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก มีสรรพคุณ เด่นๆคือมีรสเปรี๊ยว ใช้เป็นยากัดเสมหะ และอื่นๆอีกมากมาย
ขอบคุณที่มาของภาพจาก:http://www.the-than.com/FLower/Fl-2/25/25.html
ช่วงเวลาที่นิยมเก็บยา เพื่อให้ได้ยามีคุณภาพเต็มร้อยคือ ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวใช้เวลา 4 - 5 เดือนครึ่ง
วิธีใช้
หากต้องการใช้เป็นยารักษาอาการจัดเบา ปัสสาวะไม่สะดวก ให้นำกลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง
ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร)
ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส
ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวัน จนกว่าอาการขัดเบาจะหายไป
หายป่วยแล้วดื่มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรอร่อยรสหวานด้วยการเติมน้ำผึ้งก็ดี น้ำตาลทรายแดงก็ดี
และเหยาะเกลือแกงเล็กน้อยแต่ปลายช้อนแตะๆ เติมน้ำแข็งเกร็ดหรือก้อนเล็กๆแก้กระหายน้ำได้ดีทีเดียว
ขอบคุณความรู้เพิ่มเติมจาก
http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/hibiscus.html#Topic_cure
http://www.the-than.com/FLower/Fl-2/25/25.html
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=868208
ขอบคุณพระอาจารย์ผู้ประสาทความรู้ และเว็บไชด์ต่างๆที่นรำมากล่าวและอ้างไว้ในที่นี้
เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของเพื่อนมนุษย์ชาติด้วยกัน โดยปราศจากการหาผลประโยชน์และกำไร
นอกจากการเผยแพร่ความรู้และเรียนรู้ของผู้บันทึกเอง
ขอบคุณที่แวะมาร่วมลปรร.กันนะคะ
ขอบคุณค่ะ
มีแสงแดดรำไรๆแล้วคาดว่าถ้าบ่ายฝนหายไปเรามาทำน้ำกระเจี๊ยบดื่มกันดีไหมคะ
ขอบคุณภาพและติดตามลองทำชิมดูที่นี่ค่ะhttp://www.classifiedthai.com/content.php?article=20282
ขอไปเก็บกระเจี๊ยบในกระถางมาทำเครื่องดื่มก่อนนะคะ
ชอบค่ะ "น้ำกระเจี๊ยบ" เปรี้ยว ๆ ถ้านำมาชงดื่ม ใส่น้ำตาลนิดเดียวพอค่ะ...เพราะนิสัยของนู๋ ไม่ค่อยชอบหวานคร้า...ขนาดไม่ชอบหวาน หมอยังบอกว่านู๋เป็นเบาหวานเลยคร้า ถ้าชอบจะขนาดไหน คริ ๆ ๆ...ขอบคุณคร้า