คำนี้น่าจะเป็นสำนวนไทย เป็นถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่นับวันยิ่งจะมีความหมาย ถ้าคิดให้ดี เป็นจุดเริ่มต้นของการให้อภัยเด็กสักคน ที่ยังอ่อนความรู้และประสบการณ์ ไม่ถือสาหาความและจบลงตรงที่ว่า ช่างเถอะ..เด็กยังไม่รู้ภาษา โตขึ้นเด็กจะรู้และเข้าใจเองว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่านี้
.
ในโลกยุคปัจจุบัน ที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้กว้างไกล ไร้พรมแดน มีสื่อและเครื่องมือไอซีทีที่ทันสมัย เด็กประถมเข้าสู่มัธยม และเติบโตเป็นเด็กวัยรุ่น เมื่อติดตามสื่อสารมวลชนก็จะพบเด็กหลายกลุ่ม ไม่แน่ใจว่าเป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศหรือเปล่ากำลังติดเกม ติดยา ติดโทรศัพท์ และเป็นเด็กแว้น ขับรถกวนเมืองในถนนแทบทุกสาย
.
เด็กดังกล่าว มีอายุที่ควรจะ "รู้ภาษา"ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถบังคับใจตนเอง ไม่ตระหนักในความดีงามและความถูกต้อง สร้างปัญหาให้ครอบครัวและสังคม ขาดความยับยั้งชั่งใจ... เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
.
ผมคิดว่า..เขาทั้งหลายเหล่านั้น ไม่รู้ภาษา(ไทย) ไม่เข้าใจในการใช้ภาษามากกว่า ไม่ซาบซึ้ง เข้าไม่ถึงภาษา ถึงขนาดอ่านเขียนไม่คล่องนั่นเอง เมื่อภาษาอันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารขั้นพื้นฐาน ไม่มีประสิทธิภาพเสียแล้ว เด็กก็จะอ่อนด้อยในการเรียนรู้ ไม่เกิดการต่อยอดในการใฝ่รู้ใฝ่เรียน คิดและวิเคราะห์ไม่เป็น ตกเป็นเหยื่อในเรื่อง"เชิงลบ"ได้ง่าย
.
ครู..จึงเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่ง ที่จะต้องทำหน้าที่ที่หนักกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เพื่อมิให้ เด็กไม่รู้ภาษาเต็มบ้านเต็มเมือง ครูทุกคนต้องเน้นและให้น้ำหนักในการสอนภาษาไทยให้มากๆ ภาษาจะนำไปสู่ความรู้คู่คุณธรรม ครูทำได้โดยบูรณาการในทุกกลุ่มสาระวิชา จะเรียนวิชาใด ให้สอนภาษาไปด้วย ให้นักเรียนได้ทั้งทักษะการอ่านและทักษะการเขียนควบคู่กัน ขณะเดียวกันภาษาจะมีความหมายขึ้นมาทันที ถ้าครูสอดแทรกวิชาทักษะชีวิต ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็กเข้าไปด้วย
.
ถึงเวลาแล้ว..ที่ครูทุกคนและรวมถึงนักวิชาการด้วย จะต้องยอมรับกันเสียทีว่า..มันไม่มีวิธีการสอนมากมายอะไรหรอก..ไม่มีตำราจากต่างประเทศใดๆ..และหรือไม่มีวิธีการสวยหรูอลังการอันใดมากมายนัก...ที่จะทำให้เด็กรักการอ่าน นำไปสู่การอ่านคล่องเขียนคล่อง..นอกจากวิธีที่ครูศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวครูเอง ให้เหมาะสมกับนักเรียนในห้องเรียนนั้นๆ เหมาะสมกับบริบทโรงเรียนและปัจจัยแวดล้อมตัวเด็ก ใช้วิธีสอนให้ตรงกับ "ปัญหา" ด้วยความ"ตั้งใจและจริงจัง"ที่จะแก้ปัญหา
.
เพียงเท่านี้...ก็จะเป็นวิธีการเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เด็กไม่รู้ภาษาลดลง ในทางกลับกัน เด็กก็จะมี "คุณภาพ" มากขึ้น อันเกิดจากครูตระหนัก และเข้าใจ ตลอดจนร่วมด้วยช่วยกันร่วมคิดร่วมสร้างเส้นทางแห่งคุณภาพของการศึกษาไทย ซึ่งความสำคัญอยู่ในระดับรากหญ้าหรือสถานศึกษานั่นเอง
.
ดังนั้น..กระทรวงศึกษาธิการและสพฐ. หยุดคิดแทนครูได้แล้ว ลดเวลาและงบประมาณ หยุดคิดโครงการแปลกๆแหวกแนว เพื่อตั้งงบประมาณและนำครูไปอบรมสัมมนาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วนำไปใช้ไม่ได้ หรือใช้ได้ก็ไม่ตรงกับปัญหาที่ประสบอยู่อย่างแท้จริง
.
เพียงศึกษามาจากต่างประเทศ..หรือแปลมาจากตำราฝรั่ง กล่าวอ้างและโฆษณาชวนเชื่อวิธีสอนกันมามากพอแล้ว.. เกินกว่าที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะรับได้...ขอร้อง..หยุดเถิดครับ ผู้บริหารและนักวิชาการระดับสูง ที่คิดแต่โครงการที่นำครูออกจากห้องเรียน แต่ควรคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรเด็กจะมีเวลาเรียนรู้ภาษากับครูมากขึ้น
.
และไม่ใช่เรื่องน่าละอายเลย ที่จะไปสอนภาษาแบบครูเก่า แบบเรียนเก่า ทั้งแจกลูกผสมคำนำมาใช้เถอะครับ..รับรองเด็กจะไม่รู้ภาษาอย่างเดียว แต่ จะใช้ภาษาสื่อสารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖
www.bannongphue.com
โอ้โห โรงเรียนสะอาด ร่มรื่นดีจังค่ะ
ฝีมือใครน๊า
เด็กไม่รู้ภาษา...หรือ ผู้ใหญ่ไม่ใส่ใจ " ภาษา " กันแน่เนี่ยะ ?
เห็นด้วยครับ
การพัฒนานักเรียนควรเริ่มจากโรงเรียน
โอ้…ถูกใจจังบันทึกนี้ ต้องหันกลับมาฟังคนปฏิบัติ ทุกกระทรวงมังคะในประทศไทย รวมทั้งสาธารณสุขด้วย ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาให้ทำนัก ยิ่งทำก็ยิ่งไกลตัวคนไข้ไปทุกที ขอบคุณค่ะ
โรงเรียนเปลี่ยนไปเยอะนะครับ
แวะมาชื่นชมโรงเรียนและแนวคิดค่ะ
ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่ให้เกียรติอ่านบทความ..สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก เด็กไม่รู้ภาษาจะน้อย แต่ก็ต้องเร่งคุณภาพกันต่อไป เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ....
- มาให้กำลังใจ ท่าน ผอ.ชยันต์ / ค่ะ
- ภาษากาย - ภาษาใจ - ภาษาจิตวิญญาณ ที่อาจารย์ ต้องการจะสื่อ ถ้าได้ทั้งจาก พ่อแม่ ผู้ปกครอง นอกจากที่ได้ "ครู"ด้วยแล้ว
สยามประเทศของเรา คงจะอบอุ่นขึ้น อีกมาก
- ในช่วงปิดภาคเรียนนี้ั - บริเวณถนนหน้าบ้าน ประมาณเกือบ 3 ทุ่ม แล้ว ยังมีเด็กเล็ก ประมาณ ประถม 1 -2 วิ่งเล่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว...55555...แปลกใจจริง พ่อแม่ ผู้ปกครอง เค้าทำสิ่งใดกันอยู่นะ!!!!.....หยุดคิดไว้เพียงแค่นั้น....ค่ะ