การออกกำลังกายส่วนใหญ่มุ่งเน้นฝึกฝนความความแข็งแกร่งของร่างกาย และเพื่อสุขภาพของอวัยวะสำคัญต่างๆ ได้แก่ หัวใจ และ ปอด โดยจะให้ได้ผลนั้น จะพิจารณาจากกิจกรรมหนักเบา (การใช้ออกซิเจน) และระยะเวลาในการออกกำลังกาย โดยทั่วไปมีหลักดังนี้ (http://www.siamhealth.net/public_html/Health/good_health_living/Fitness/time.htm#.UjeYsH9v4lI)
· การออกกกำลังกายอย่างเบาควรจะใช้เวลาในการออกกำลังประมาณ 60 นาที
· การออกกกำลังกายชนิดปานกลางใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที
· การออกกกำลังกายชนิดหนักใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที
การที่ร่างกายอ่อนเพลียนั้นเกิดจากร่างกายไม่ได้ออกกำลังกาย ซึ่งก็คือ ร่างกายคนเราจะมีพัฒนาการตามธรรมชาติของระบบต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนพัฒนาสูงสุดถึงอายุ 30 ปี แต่หลังจากนั้นก็จะเริ่มถดถอยลงไปอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ชีวิตแบบนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไม่มีการออกกำลังกาย (รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล) ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดก็คือ การเดิน เพราะสามารถทำได้ง่าย สะดวก และไม่ต้องอาศัยทักษะใด ๆ แถมไม่สิ้นเปลืองอีกด้วย การเดินที่ได้ผลนั้นต้องเดินอย่างต่อเนื่องประมาณ 20 – 30 นาทีขึ้นไป โดยความถี่ของการเดินนั้น คือ 3–5 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อยและเดินอย่างสม่ำเสมอ
การเดินให้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นก็คือ การได้สมาธิ โดยจะได้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้น จึงขอแนะนำวิธีการสร้างสมาธิของศาสนาพุทธ คือ การเดินจงกรม และ แบบซาเซน ดังนี้
1) การเดินจงกรม เป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิโดยผู้ปฏิบัติเลือกอิริยาบถ “การเดิน” ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การเดินจงกรมเป็นการออกกำลังกายแบบพุทธะ และช่วยทำให้จิตสงบ ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วถ้าสมองอยู่ในภาวะสงบนิ่ง เซลล์สมองจะมีการซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องได้ ดังนั้น การเดินจงกรมจึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพสมอง หลายท่านจะมีความจำดีขึ้น ตัดสินใจดีขึ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอานิสงส์ของการเดินจงกรมมี 5 ประการคือ อดทนต่อการเดินทางไกล อดทนต่อความเพียร มีอาพาธน้อย อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มรสแล้ว ย่อมย่อยไปด้วยดี สมาธิที่ได้ในขณะเดินจงกรม ย่อมตั้งอยู่นาน ดังนั้นการเดินจงกรมจึงเป็นการออกกำลังกายซึ่งสมบูรณ์แบบได้ประโยชน์ทั้งกายและจิตใจในเวลาเดียวกัน (รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน)
การเดินจงกรมคือ การเดินกลับไปกลับมาเพื่ออบรมจิตใจ วิธีการเดินในแต่ละสำนักจะแตกต่างกัน เช่นบางแห่งให้กำหนดรู้ทุกก้าว เช่น ยก-ย่าง-เหยียบ หรืออาจกำหนดรู้อย่างละเอียด เป็น เผยอ-ยก-ย่าง-ลง-แตะ-เหยียบ-กด การกำหนดรู้จะช่วยประคองจิตภายในให้นิ่ง แต่การเดินจงกรมในการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวเป็นการเดินแบบธรรมดาตามธรรมชาติของบุคคลนั้น เพียงแค่ให้วางจิตให้นิ่งเฉยไม่คิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งในเรื่องอดีตหรืออนาคต ให้รู้ว่าเท้าได้เหยียบสัมผัสพื้นเท่านั้น การเดินจงกรมจึงเหมือนการเดินออกกำลังกายที่หลายท่านกำลังทำอยู่ แต่วิธีการเดินจงกรมจะใช้ทางเดินสั้นกว่าจึงสามารถเดินที่ใดก็ได้ โดยกำหนดทางเดินที่ประมาณ 8-12 ก้าว เพราะถ้าทางเดินสั้นกว่า 8 ก้าวเมื่อมีการหมุนตัวบ่อยครั้งอาจรู้สึกเวียนศีรษะ แต่ถ้าทางเดินยาวเกินกว่า 12 ก้าว จิตผู้เดินอาจจะล่องลอยง่าย
http://www.eldercarethailand.com/content/view/313/35/
2) การทำสมาธิในขณะเคลื่อนไหวแบบซาเซน (ZAZEN) จะเริ่มต้นด้วยการเดินช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้น เรียกการเดินแบบนี้ว่า Power Walking เป็นการเคลื่อนไหวที่กระตุ้นการหมุนเวียนโลหิต ช่วยให้กล้ามเนื้อที่อ่อนล้ากลับกระฉับกระเฉง (http://www.oknation.net/blog/print.php?id=4809) ซึ่งการปฏิบัติ ZEN WALKING คือ "ผสมผสานการทำสมาธิกับการเดินออกกำลังกาย"(MODERNMOM. http://health.kapook.com/view39964.html)
ข้อดีของการเดิน (รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล)
http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/rehabilitation/dept_article_detail.asp?a_id=730)
ก. ด้านร่างกาย
1. ช่วยให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น ซึ่งอวัยวะทั้ง 2 นี้มีความสำคัญต่อเซลล์ต่างๆ ทุกส่วนของร่างกายจำเป็นต้องได้รับเลือดที่นำเอาออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือสารอาหารใด ที่จะทำให้หัวใจและปอดมีความแข็งแรง ทนทานได้ เท่าการออกกำลังกาย
2. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในวัยสูงอายุที่มักมีปัญหากระดูกบาง
3. ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย
4. ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อาจใช้การเดินช่วยลดน้ำหนักตัวได้ โดยเดินวันละประมาณ 1 ชั่วโมง จะทำให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวจึงลดลง ก็จะเป็นผลพลอยได้เพิ่มเติม
5. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลงนั้น พบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้อินซูลินทำงานดีขึ้นร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้ดีขึ้น อันหมายถึงสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นนั่นเอง
ข. ด้านจิตใจ
ช่วยให้คลายเครียด รู้สึกสบายหลังเดินออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังกายจะกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและทำให้รู้สึกสุขสบาย
10 Tips for Walking (MODERNMOM. http://health.kapook.com/view39964.html)
มีประโยชน์มากค่ะอาจารย์ จะพยายามทำให้ได้สม่ำเสมอกว่าปัจจุบัน ขอบคุณมากค่ะ