วันที่ 13 กันยายน 2556 เป็นอีกวันที่ชีวิตมีความสุขกับคำว่า “ทำงาน”
เช้าประชุม –บ่ายประชุม ตกเย็นเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “สถานศึกษา 3 D” ให้กับฝ่ายพัฒนานิสิตของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์
การไปเป็นวิทยากรครั้งนี้ ผมจัดเตรียมเนื้อหาเพียงไม่กี่ประเด็น ออกแบบกระบวนการเน้นสไตล์ที่ผมถนัด นั่นก็คือการ “เล่าเรื่อง” เพื่อนำไปสู่การสร้างทักษะการฟัง-จับประเด็น-สังเคราะห์-สื่อสาร (แลกเปลี่ยน) เป็นหัวใจหลัก โดยนำสื่อ “วีดีทัศน์” ไปเป็นกลไกของการเชื่อมร้อยการเรียนรู้เข้าหากัน
ผมไม่ค่อยมีข้อมูลล่วงหน้าเท่าใดนักว่า “กลุ่มเป้าหมาย” ที่เข้าฟังในวันนี้เป็นนิสิตกลุ่มใด อันหมายถึงเป็นกลุ่มผู้นำนิสิต หรือนิสิตทั่วไป รวมถึงจำนวนผู้เข้าฟัง –แต่ทั้งปวงก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการที่ผมออกแบบขึ้น
ผมไปถึงห้องบรรยายก่อนใครอื่นซักประมาณเกือบๆ 20 นาที เพื่อจะจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ แต่พอได้เห็นสภาพของห้องที่ถูกออกแบบรองรับการเรียนการสอน จึงจำต้องปรับกระบวนการใหม่ ซึ่งเดิมผมตั้งใจจะใช้กระบวนการเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ให้นิสิตได้ฟังบรรยาย ดูวีดีทัศน์ และผูกโยงถึงการแบ่งกลุ่ม “โสเหล่” เพื่อสังเคราะห์ว่ากิจกรรม หรือโครงการต่างๆ ที่คณะ หรือสโมสรนิสิตได้จัดขึ้น ตอบโจทย์ “สถานศึกษา 3 D” อย่างไรบ้าง หรือเอาง่ายๆ ก็คือ “นิสิตที่เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้นแล้วเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใด และมีอะไรที่เกี่ยวโยงกับเรื่องสถานศึกษา 3 D” นั่นเอง
ที่มาที่ไปของกิจกรรม : เครียด !
ถึงแม้จะไม่มีเวลาได้ถามซักกันถึงรายละเอียดโครงการเท่าที่ควร แต่ทางคณะก็เกริ่นกล่าวกับผมอย่างชัดแจ้งว่ากิจกรรมในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะมีการประเมินสภาวะของนิสิตภายในคณะ ทำให้รู้ว่านิสิตมีอาการเหนื่อย “เครียด และ พักผ่อนน้อย” อันเกิดจากการเรียน กิจกรรม หรือแม้แต่การทำงานส่งอาจารย์แบบหามรุ่งหามค่ำ
ครั้นพอตรวจปัสสาวะ จึงเห็นได้ชัดว่า ปัสสาวะของนิสิตมีความข้นเหนียว ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าเกิดจากภาวะของการเครียด พักผ่อนน้อย ไม่มีสารเสพติดใดๆ มาเคลือบแฝง
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ฝ่ายพัฒนานิสิตคณะสถาปัตย์ฯ จึงพยายามจัดกิจกรรม “บันเทิง เริงปัญญา” มาสอดแทรกในวิถีชีวิตของนิสิต ซึ่งโดยปกตินิสิตมักจะมารวมกลุ่มทำกิจกรรมและทำงานส่งอาจารย์ที่ตึกคณะกันอยู่แล้ว จึงสอดแทรกให้เกิดเวทีในทำนองนี้ขึ้นเป็นระยะๆ
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงสรุปแบบหักดิบว่า กระบวนการของผม ต้องไม่ “เครียด” ...ต้อง “บันเทิง เริงปัญญา” เน้นเพลิดเพลิน สนุก ได้แง่คิด ...
และที่สำคัญคือ “ได้คิดต่อ” หรือสร้างกระบวนการให้นิสิต “ได้ต่อยอด” แนวคิดด้วยตนเองเป็นหัวใจหลัก
ปรับสถานการณ์ตามสถานการณ์
ก่อนเริ่มงานเพียงเล็กน้อย เมื่อได้รับทราบข้อมูลว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 (พวกเขายังไม่ใช่แกนนำนิสิต) ประกอบกับสภาพของห้องบรรยายไม่เอื้อต่อการทำกระบวนการ จึงยกเลิกการเคลื่อนย้ายเก้าอี้ และหันหลับมาปรับแผนใหม่ เน้นการเล่าเรื่อง ดูวีดีทัศน์ ชวนคิดชวนคุย หรือเปิดพื้นที่ให้นิสิตได้แสดงความคิดเห็นเสียมากกว่า
เบื้องต้นผมกล่าวชื่นชมกับคณะสถาปัตย์กรรมฯ อย่าง “จริงใจ” ว่าเป็นคณะที่ยังให้ความสำคัญกับประเด็น 3 D นี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำงานตามตัวชี้วัด วูบวาบ จากจางไปตามกระแสและวาระ ตรงกันข้ามกลับยังเคลื่อนขับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และมีมุมมองอันชาญฉลาดในการวางกลยุทธให้นิสิตชั้นปีที่ 1 เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการเข้าฟัง
เพราะนี่คือกระบวนการแห่งการบ่มเพาะและขัดเกลากระบวนทัศน์ของนิสิตนิสิตใหม่ในเชิง “วิชาการสู่วิชาคน” และเวทีเช่นนี้ก็เป็นเวลาผ่อนคลายความเครียดหลังจากนิสิต “โหมเรียน-โหมงาน” กันมาเป็นระยะใหญ่ๆ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการสร้างพื้นที่ให้นิสิตปี 1 มาพบปะกันเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี
เสมือนการสร้างพื้นที่ภายใต้ร่มเงาของบ้านตัวเอง (สร้างพื้นที่คุณภาพร่วมกัน) ช่วยให้น้องๆ มาพบมาเจอกัน ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน พูดคุยกัน ทำความรู้จักกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
ประหนึ่งการรับน้องใหม่ในอีกมิติหนึ่งก็ว่าได้ แถมยังมีวิทยากรมาร่วมแลกเปลี่ยน จุดประกายความคิดความฝัน...ส่วนรุ่นพี่ก็ยังสามารถมาดูแลน้องๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ไม่ผิดต่อข้อบังคับวินัยนิสิต) มิหนำซ้ำยังได้มุมมองใหม่ๆ จากวิทยากรไปในตัว-
ครับ, ถึงแม้ผมจะไม่ใช่วิทยากรขั้นเทพ มีกระบวนยุทธอันทรงพลัง แต่ผมก็รู้ดีว่า ผมควรต้องรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร ผมรู้-เพราะผมเป็น “คนที่นี่” (คนบ้านนี้) รู้ว่าสไตล์ หรือวัฒนธรรมของคนที่นี่เป็นอย่างไร และสถานการณ์รายรอบของที่นี่เป็นเช่นใด
ซึ่งทั้งปวงนี้ จะทำให้ผมสามารถหยิบจับมาสื่อสารได้อย่างมีชีวิต ช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกง่ายต่อการ “รับรู้” ง่ายต่อการ “เข้าใจและเข้าถึง” และมีแรงบันดาลใจต่อการที่จะ “ทบทวนตัวเอง”
ชวนคิด ชวยคุย ผ่านการบอกเล่าและสื่อสร้างสรรค์
เวทีครั้งนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่างเรียบง่ายโดย อาจารย์อิสระ ดวงเกตุ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิตคณะสถาปัตยกรรมฯ ได้กล่าวเปิดงาน พบปะในแบบกันเองๆ มีการเกริ่นวัตถุประสงค์พอสังเขปและยึดโยงถึงการแนะนำประวัติ หรือตัวตนของผมเล็กๆ น้อยๆ ตามครรลองอย่างที่ควรจะเป็น จากนั้นก็ส่งมอบเวทีให้กับผมบริหารจัดการ –
ผมทักทายอย่างง่ายๆ เอาความผ่อนคลายเข้าหนุนนำ บอกเล่าถึงเรื่องราววีดีทัศน์ที่เปิดให้นิสิตได้ดูคั่นเวลาสองเรื่อง พร้อมๆ กับการชวนคิดว่าทั้งสองเรื่องนั้นมีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับเรื่องที่ต้องมารับรู้และรับฟังวันนี้ หรือไม่
การชวนคิดชวนคุยผ่านวีดีทัศน์ดังกล่าว ถือเป็นกระบวนการเปิดเวทีในสไตล์ของผม เอาเนื้อหามาสื่อสารผ่านบรรยากาศของความเพลิดเพลิน เป็นการกระตุ้น-ปลุกเร้าให้ผู้เข้าร่วมตื่นตัวที่จะรับรู้ รับฟังและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน
ถัดจากนั้น ผมได้บอกเล่าเรื่องราวว่าวันนี้จะพูดคุยกันในเรื่องใดบ้าง เช่น กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา TQF คุณธรรม 8 ประการ สถานศึกษา 3 D โดยเฉพาะประเด็นหลักของ 3 D ที่ประกอบด้วย DEMOCRACY (ประชาธิปไตย) DECENCY (คุณธรรม จริยธรรม ความเป็นไทย) DRUG-FREE (ยาเสพติด,สิ่งเสพติด)
ซึ่งทั้งสามประเด็น ผมไม่เน้นบรรยาย แต่เน้นบอกเล่าในมุมกว้างๆ เน้นแรงบันดาลใจ เน้นการให้คิดตาม ไม่ใช่บรรยายว่า “แต่ละประเด็นคืออะไร ...มีอะไรเป็นองค์ประกอบ”
ถัดจากนั้นจึงเปิดวีดีทัศน์ให้นิสิตได้ดูได้ชมกันอย่างออกรสออกชาติ แต่ละเรื่องแฝงนัยยะอันสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นทั้งหมด และแต่ละเรื่องก็ได้รสชาติชีวิตในแบบ “บันเทิง เริงปัญญา”
ครับ-เมื่อนิสิตดูเสร็จ ผมก็โยนไมค์ให้นิสิตได้ช่วยกันสะท้อนว่าวีดีทัศน์ (หนังสั้น,คลิป) เหล่านั้น เกี่ยวโยงกับเรื่องที่ผมบอกเล่าอย่างไร หรือนิสิต “ดูแล้ว..ได้เรียนรู้อะไรผ่านสื่อเหล่านั้น”
วิธีง่ายๆ และพื้นๆ เช่นนี้ ยืนยันว่าก่อเกิดบรรยากาศการเรียนรู้ที่แสนสนุก
การบอกเล่า หรือตอบคำถามของนิสิตแต่ละคนนำพามาซึ่งเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างเป็นกันเอง ถึงแม้สาระที่สะท้อนออกมานั้น จะไม่ “คม ชัด ลึก” หรือ “ตรงประเด็น” เสียทั้งหมด แต่เห็นได้ว่านิสิตเรียนรู้ที่จะฟัง-คิด-จับประเด็น-สื่อสาร
ยิ่งได้ลุกขึ้นพูด ยิ่งถือว่าเป็นกระบวนการสนับสนุนให้นิสิตมีความกล้าแสดงออกด้วยวิธีการอันสร้างสรรค์ เพราะผมไม่บังคับว่า “ใครต้องพูด” แต่จะกระตุกกระตุ้น หยิกๆ หยอกๆ เพื่อให้นิสิต “กล้าที่จะพูด”...
ผมว่ากระบวนการเช่นนี้แหละ เหมาะกับการนำมาใช้ในเวทีแบบนี้ ไม่ใช่ผมมานั่งบรรยายฝ่ายเดียว หรือบรรยายเน้นทฤษฎีชวนน่าเบื่อ ทำให้นิสิตที่หวังใจว่าจะมาผ่อนคลาย กลับดูตรึงเครียดไปมากกว่าเดิม
แน่นอนครับ-สื่ออันเป็นหนังสั้นหรือคลิปที่ผมนำมาให้นิสิตได้ดูได้ชมกันนั้น ผมได้กลั่นกรองชัดแจ้งแล้วว่าเรื่องแต่ละเรื่องมีประเด็นต่อการกระตุกต่อมคิดของนิสิตเป็นแน่
สื่อเหล่านี้ทำหน้าที่แทนเราได้อย่างดียิ่ง แทนที่เราจะพร่ำพูดยืดยาว ก็ใช้สื่อเหล่านี้เข้ามาหนุนเสริมเพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศการเรียนรู้แทน ซึ่งผมถือว่ามัน “เวิร์ค” มาก
ยิ่งเป็นสื่อที่ใกล้ตัว หรือสื่อที่สร้างจากมุมคิดที่เข้าใจ “วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว” เช่นนี้ ยิ่งช่วยให้เกิดกระแส หรือปรากฏการณ์เล็กๆ ในการบ่มเพาะ หรือสร้างความตระหนักให้กับนิสิตได้คิดคำถึงถึง “บทบาทและสถานะ” ของพวกเขาเองอย่างไม่เคอะเขิน
ปิดเวที : เสียดาย
ครับ-ในทุกครั้งที่นิสิตแสดงความคิดเห็น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะไม่ฟันธงว่า “ผิด” หรือ “ถูก”
ถึงกระนั้นก็โชคดีเป็นที่สุด เพราะในเวทีครั้งนี้ นิสิตสะท้อนมุมคิดตรงตามโจทย์แทบทั้งหมด ผมจึงไม่อึดอัดที่จะบอกว่า “ใช่-ไม่ใช่-ทำนองนั้น”
และที่สำคัญ-เมื่อนิสิตลุกขึ้นมาพูด ผมจะกำนัลเขาด้วย “หนังสือ” ของผมเอง หรือไม่ก็เป็นหนังสืออ่านเล่นอื่นๆ เพื่อส่งเสริม “การอ่าน..การคิด” ให้เกิดเป็น “วัฒนธรรม” ในตัวของนิสิต
ในตอนท้ายของเวที ผมเกริ่นจากใจในทำนองว่า “... เสียดายที่ไม่ได้ทำเวทีในแบบปฏิบัติการ (Workshop) โดยให้นิสิตจับกลุ่มวิเคราะห์กิจกรรมที่คณะหรือสโมสรนิสิตได้จัดขึ้นว่าเกี่ยวโยงกับเรื่อง 3 D อย่างไร เนื่องเพราะผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่านิสิตที่มานั่งฟังในครั้งนี้เคยเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งพี่ๆ ผู้นำองค์กร (ผู้นำนิสิต) ก็ไม่ได้เข้าร่วม จึงยากต่อการจัดกระบวนการให้ทะลุมิติของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ประกอบด้วย “ผู้นำ” และ “ผู้ตาม” ...
นอกจากนั้น ผมยังทิ้งท้ายด้วยการเชื่อมโยงให้เห็นถึงความเป็นปรัชญามหาวิทยาลัยฯ,เอกลักษณ์มหาวิทยาลัย และอัตลักษณ์ของความเป็นนิสิต รวมถึงการมุ่งเน้นถึงวาทกรรม "จิตอาสา" หรือ "จิตสาธารณะ" เพราะคำๆ นี้เป็นกลไกหลักที่จะช่วยให้เกิดสถานศึกษา 3 D
ครับ-ไม่มีอะไรว่างเปล่า และไร้ค่าเมื่อเราลงมือทำมันด้วยหัวใจ
เวทีครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่าผู้จัดคงมิได้จัดขึ้นเพียงเพื่อตอบตัวชี้วัดใดๆ ให้มากความ หากแต่จัดขึ้นเพื่อต้องการ “สร้างพื้นที่” (คุณภาพ) ให้เกิดขึ้นในองค์กร/คณะ เพื่อให้แต่ละคนได้มาพบปะพูดคุยกัน หรือแต่การแลกเปลี่ยนกับบุคคลภายนอก ซึ่งอาจจะมีทั้งคนมีชื่อเสียง และไม่มีชื่อเสียง (หากแต่มีตัวตน ชวนฟัง...ชวนเอาแบบแบบอย่าง)
ลองคิดตามนะครับ จะดีแค่ไหนหากทุกคณะมี “พื้นที่” หรือ “เวที” เล็กๆ เช่นนี้อย่างน้อยเดือนละครั้งสองครั้ง จัดและขับเคลื่อนภายใต้ “วัฒนธรรมของตนเอง”
วิทยากรที่เชิญมาอาจไม่จำเป็นต้องโด่งดังคับฟ้า (ค่าตัวแพงๆ) ตรงกันข้ามอาจสลับสับเปลี่ยนกับการเชิญ “ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน” หรือ “บุคลกรในมหาวิทยาลัย” ที่สันทัดและมีประสบการณ์ที่น่าสนใจหมุนเวียนมา “ขายฝัน” ร่วมกัน- ผมว่าก็คงไม่น่าเสียหายอะไร (กระมัง)
และสำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นวิทยากรก็เถอะ แต่มีเงื่อนไขเดียวกันคือการต้องตระหนักถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้มี “พื้นที่” ในการ “ขบคิด วิเคราะห์และตัดสินใจ” ด้วยตนเอง มิใช่ “บรรยาย” ให้จบๆ ไปตามกำหนดการ ราวกับต้อนคนเข้ามานั่งจดบันทึกจนขาดชีวิตชีวา –
ครับ-ผมว่านี่แหละคืออีกหนึ่งกระบวนการอันง่ายงามของการพัฒนานิสิต
และคือกระบวนการอันสำคัญในการสร้างพื้นที่คุณภาพเล็กๆ ไว้ในแต่ละคณะ ...
เวที ง่ายๆ. ในการ. ขายฝัน ร่วมกัน. เหมือน g2k แห่งนี้. เวทีื ที่ไอ้ เรียนรู้ร่วมกัน ไว้คอยติดตามอ่านต่ออีกนะคะ ^___^
สวัสดีครับ คุณชาดา ~natadee
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
G2K คือเวทีแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน
ผมเองก็ได้รับอานิสงส์จากเวทีนี้มากมายก่ายกอง..
การงานและชีวิต ครึ่งต่อครึ่งก็ได้เวทีนี้ ขัดแต่ง กล่อมเกลา .....
ขอบพระคุณครับ
เป็นเวทีที่เรียนรู้อย่างมีความสุข
ต้อง ททท ทำทันที เลยนะครับ
หนังสือเล่มใหม่ชื่ออะไรครับ
ไม่ได้รับเมล์ครับ
เมล์ผมคือ khajitfoythong347at gmail.com
แก้ at เป็น @ ก่อนนะครับ ผมกันRobot
อ.ขจิต ฝอยทอง ครับ
หนังสือเล่มใหม่ที่วางแผงตอนนี้คือ "ความรักความคิดถึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต"
เดี๋ยวบ่ายวันนี้ จะส่งไปให้ครับ
ดูชื่อหนังสือแล้ว แย้งย้อนกับใบหน้าผมเลยใช่ไหมครับ ...55
ขอบคุณมากๆๆส่งเมล์ตอบไปแว้ววววว
ใบหน้ากับหนังสือ 5555
กระบวนการง่ายงาม เพราะประสบการณ์วิทยากรผ่านยากมาแล้วมังคะ อาจารย์เล่าได้เร้าพลังตามเคยนะคะ
ทราบว่าหนังสืออาจารย์มีขายที่ Se-Ed วันหยุดนี้จะลองแวะหามาอ่านนะคะ
เป็นงาน คืองาน คือชีวิต คือความสุขนะจ๊ะ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
ครับ, การงาน คือความสุข
การได้ทำงาน ช่วยให้เรารู้สึกว่า เรามีคุณค่าและยังพร้อมเสมอสำหรับการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองและสังคม ครับ