เรื่องจริงที่เราแสดง อ่านแล้วอาจจะรู้สึกแปลก ๆ งง ๆ นะคะ
ว่าตกลงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น หรือ เป็นการแสดงที่สร้างขึ้น
ฉันจะเล่าให้ฟังคะ ว่าฉันกับเพื่อน ๆ ได้ร่วมกันสร้างผลงาน
ที่รวมสองสิ่งนี้ไว้ด้วยกัน
เรื่องก็มีอยู่ว่า...
เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ดิฉันได้ทำการแสดงละคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
การประถมศึกษา ในหัวข้อ " บทบาทของครูประถมที่เป็นจริงกับความคาดหวัง "
พวกเราเหล่านักศึกษาครูต่างก็ร่วมกันเขียนบทขึ้นมา และตั้งชื่อว่า " ทางเดินของครู "
เนื้อเรื่องของเราจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องจริงของพวกเราตั้งแต่ก่อนสอบเข้าเรียนครู
การเรียนครูของพวกเราในตอนนี้ และอนาคตที่เราคาดหวังไว้
โดยผ่านการแสดงละครและมีเพลงที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่แต่ง
พวกเรามีเพลงมากมายทั้งใหม่และเก่า เริ่มตั้งแต่ เพลงเพื่อดาวดวงนั้น ของ เดอะสตาร์
เพลงสุดหล่อ เพลงขบวนการแจ๋ว เพลงวันเดือนปี เพลงชีวิตลิขิตเอง เพลงเธอผู้ไม่แพ้
และเพลงที่มาแรงสุด ๆ อย่างเพลง " ขอใจแลกเบอร์โทร " ของหญิงลี
รวมถึงเพลงที่ฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้น้ำไหลออกจากตาทั้งสองข้างนี้ได้ทุกครั้ง
คือ เพลง " กำลังใจจากแดนไกล "
ดิฉันได้รับบทอยู่หลายอย่างเลย เป็นทั้งคนเต้นประกอบเพลงทุกเพลงที่กล่าวมา
เป็นเด็กนักเรียนประถม เป็นนักศึกษา และเป็นครูที่ดีในอนาคตที่คาดหวัง
และฉันยังได้รับหน้าที่สำคัญในการแต่งบทกลอนเพื่อมอบให้กับครูประจำวิชานี้
คือ รศ.อนงค์ศิริ วิชาลัย ที่พวกเราทำเซอร์ไพร์ท่าน เนื่องจากว่าท่านได้สอนพวกเราเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ โดยการในฉากสุดท้ายเราได้ทำเป็นว่า มีงานเลี้ยงรุ่นแล้วชวนท่านมาร่วมงาน แล้วเราก็เปลี่ยนป้ายจากงานเลี้ยงรุ่น เป็นงานมุทิตาจิตให้ท่านแทน
เราเชิญท่านนั่งตรงกลาง เราเหล่านักศึกษาครูนั่งล้อมรอบ
และร่วมกันร้องเพลง " พระคุณที่สาม " ให้ท่าน เพื่อน ๆ พากันหน้าแดงหมด
พอถึงตอนที่ฉันอ่านกลอน ฉันอ่านแทบไม่ออก
พอฉันเริ่มอ่าน น้ำตาของฉันก็เริ่มไหล ฉันพยายามสะกดเสียงสะอื้นไว้
เพราะอยากอ่านมันให้ออกมาดีที่สุด
แต่สิ่งที่ดังยิ่งกว่าเสียงกลอนของฉัน คือเสียงร่ำไห้ของเพื่อน ๆ
และสิ่งที่ฉันปลื้มใจสุด ๆ คือ น้ำตาของคุณครูก็ไหลร่วมกันกับเรา
มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความอบอุ่นระหว่างพวกเรา
นักศึกษาครูและผู้สอนนักศึกษาครู
พอคุณครูท่านก็กลับ
พวกเราก็เก็บของอยู่
เพื่อน ๆ บอกฉันว่า " เธอนี่นิสัยไม่ดีเลย ทำฉันร้องไห้ "
ฉันก็ตกใจกำลังคิดอยู่ว่าไปทำอะไรให้
จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า " อุตส่าห์กลั้นน้ำตาไว้แท้ ๆ เพราะกลอนตัวนะแหละ ทำน้ำตาไหลเลย "
ไอ่เราก็ตกใจ แต่ก็ดีใจจังที่กลอนที่แต่งขึ้นออกมาดี
ตอนนั่งแต่งเองก็คิดแล้วคิดอีก กังวลว่าจะดีไหม ต้องใช้คำระดับไหน
แต่สุดท้ายก็นั่งแต่งตามความรู้สึกและแนวของตัวเอง
มีใจความอยู่ว่า...
...ศิษย์ทั้งหลายอยู่ไกลถึงเพียงนี้
ครูคนดียังเมตตามาสอนให้
ใช้โอกาสครั้งสุดท้ายก่อนลาไป
สอนหัวใจหลักแห่งการประถมเรา
สอนให้ศิษย์เป็นคุณครูที่ดีได้
เป็นครูไทยสอนเด็กไกลบ้านหลังเขา
สอนเด็กเมืองเด็กใต้ทั่วแดนเรา
ให้เขาก้าวเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
อันอายุราชการจบลงแล้ว
คุณครูแก้วยังเปล่งปลั่งไม่เสื่อมสูญ
สอนศิษย์ด้วยกรุณาและเกื้อกูล
ศิษย์เทิดทูนบูชาด้วยหัวใจ
ขอให้ครูจงสุขเกษมสันต์
จิตใจที่งดงามให้สดใส
สุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย
พรอันใดประเสริฐล้ำให้แด่ครู...
วันนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี ๆ ของการเป็นนักศึกษาครูอีกเวลาหนึ่ง
ถึงไม่ได้มีความสุขแบบนี้ทุกวัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีวันที่มีความสุขเลย
และนี่ก็คือทั้งหมดทั้งมวลของการแสดงละครจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับพวกเรา
มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ก็มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับบางคน
ซึ่งก็คือฉันคนหนึ่ง ที่ได้รับมาอย่างล้นใจ
นี่ก็คือเรื่องราวที่ทำให้ฉันได้ตั้งชื่อบันทึกนี่ไว้ว่า " เรื่องจริงที่เราแสดง "
รักและเคารพคุณครูผู้ให้ทั้งใบไม้และวิธีการหาใบไม้แก่ศิษย์ทั้งปวง
ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก http://www.learners.in.th/blogs/posts/541186 นะคะ
อ่านแล้วตื้นตันใจแทน
เยี่ยมมากๆครับ
จะได้ไปสอนจริงๆปีไหนครับ
สวัสดีคะ คุณ
ขจิต ฝอยทอง |
คงอีกสองสามปีคะ ตอนนี้อยู่ปีสองอยู่เลยคะ ฝึกสอนตอนปีห้า แอบกังวลเหมือนกันคะเพราะเข้าอาเซียนพอดี
ไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษาคะ แต่ก็จะพยายามทำหน้าที่ครูให้ดีคะ
กิจกรรมน่าสนุก กลอนซึ้งมากค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
สวัสดีคะคุณ
กุหลาบ มัทนา |
กิจกรรมนี้สนุกคะ แต่กว่าจะผ่านมาได้นั้นยากมากแต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างเช่นกัน นับว่าคุ้มค่าที่ทำได้ ขอบคุณสำหรับกำลังใจในการแต่งกลอนคะ
มาชื่นชม บันทึกดีดี สร้างความทรงจำที่งดงาม ประทับใจค่ะ
ขอมอบเพลงนี้เพื่อเป็นกำลังใจแด่ "ว่าที่" แม่พิมพ์ของชาติ ไว้ล่วงหน้านะครับ
(ผมเองก็จบ วค. ครับ แต่ไม่ได้เรียนสายครู)
"แม่พิมพ์ของชาติ"
แสงเรือง ๆ ที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย
คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง
เหนื่อยยากอย่างไร ไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง
ครูนั้นยังลำพอง ในเกียรติของตนเสมอมา
ที่ทำงานช่างสุดกันดารในป่าดงไพร
ถึงจะไกลก็เหมือนใกล้ เร่งรุดไปให้ทันเวลา
กลับบ้านไม่ทันบางวันต้องไปอาศัยหลวงตา
ครอบครัวคอยท่า ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
ถึงโรงเรียนก็เจียนจะสายจวนได้เวลา
เห็นศิษย์รออยู่พร้อมหน้า ต้องรีบมาทำการสอน
ไม่มีเวลาที่จะได้มาหยุดพอพักผ่อน
โรงเรียนในดงป่าดอน ให้โหยอ่อนสะท้อนอุรา
ชื่อของครูฟังดูก็รู้ชวนชื่นใจ งานที่ทำก็ยิ่งใหญ่
สร้างชาติไทยให้วัฒนา
ฐานะของครูใคร ๆ ก็รู้ว่าด้อยหนักหนา
ยังสู้ทนอุตส่าห์สั่งสอนศิษย์มาเป็นหลายปี
นี่แหละครูที่ให้ความรู้อยู่รอบเมืองไทย
หวังสิ่งเดียวคือขอให้เด็กของไทยในผืนธานี
ได้มีความรู้เพื่อช่วยเชิดชูไทยให้ผ่องศรี
ครูก็ภูมิใจที่สมความเหนื่อยยากตรากตรำมา...
-สวัสดีครับ...
-ตามมาให้กำลังใจครูครับ....
-ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ทำให้ผมได้ระลึกถึงพระคุณครับครับ...
อืมม ได้ใช้ความสามารถในการเขียนกลอนแล้วนะ ;)...
กว่าจะแต่งได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเลยคะ ครู Wasawat Deemarn แต่ก็ผ่านมาด้วยดีคะ
เป็นวันหนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป :)