To live in reality and with ideology
เป้าหมายหนึ่งของการศึกษา ร่ำเรียน คือการใช้ชีวิตอยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย ซึ่งอาจจะแปลออกมาเป็นนัยยะว่าค
ตั้งแต่เข้าวัยรุ่น เมื่อเราสามารถ "จับต้อง" ความคิดที่เป็นนามธรรมได้มากขึ้
หากกรณีข้างต้นเป็นความจริง เราคงเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่ท
ท้าทาย แต่ก็สำคัญ
เป็นเรื่องที่ดี ที่คนเราจะมีอุดมคติของตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน เมื่ออุดมคตินั้นๆขยายตัว ขยายพื้นที่การทำงาน ทักษะในการดูแลพื้นที่อุดมคติขอ
ทักษะของการ "คิดเผื่อใจเขา" นอกเหนือจากการเดินทางมาจาก "ใจเรา" เพียงฝ่ายเดียว
ทักษะนี้ต้องเป็น mutual คือเกิดจากทุกฝ่าย ในการต่อรองนั้นอาจจะมีผลัดกันเ
ทุกวันนี้ ความเสี่ยงก็คือ การที่ทุกๆฝ่ายนำพาเอา "อุดมคติ" ของตนเองมา และในการจะทำให้ใช้การได้ ก็เริ่มต้นจากการบอกให้คนอื่นทำแบบของตนเอง คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ "ใครควรจะทำตามใคร?" กระบวนการที่จะได้คำตอบนี้สำคัญมาก
สมมติว่ามี Aliens เดินทางมาจากอวกาศ และมาถึงก็บอกให้โลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ไปตามอุดมคติของ Aliens นั้นๆ คิดว่าจะลงเอยอย่างไร? ถ้าเป็นภาพยนต์ Hollywood ก็จะดำเนินเรื่องไปแบบสงครามอวกาศ เพราะ "วิถีชีวิต" นั้น สำคัญพอๆกับการมีชีวิตอยู่ การจะเปลี่ยนแปลงลำหักลำโค่น ก็จะทนไม่ได้ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะ Aliens บุกโลก หากแต่คนรุกรานคน ประเทศรุกรานประเทศ ฯลฯ
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่แน่นอนก็จริง แต่มีการเปลี่ยนแปลงได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีความรุนแรง ความประนีประนอม และผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน บางครั้ง หากใช้วิธีแบบหนึ่ง อาจจะลงเอยที่ไม่มีใครได้สิ่งที่ต้องการเลย มีแต่ผู้แพ้ ตรงกันข้ามหากใช้อีกวิธี ทุกๆฝ่ายแม้ว่าจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด แต่ทุกฝ่ายก็ได้สิ่งที่ตนเองปราถนา ฝ่ายละนิด ฝ่ายละหน่อย และอีกเช่นกัน ผลลัพธ์ อาจจะไม่สำคัญเท่ากับ "ที่มาของผลลัพธ์" นั้นๆ เพราะการกระทำเช่นนี้ ยังคงต้องทำอีก ทำอีก ทำอีก ทำอีก ไปต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้สำคัญว่าครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร
เมื่อวัยรุ่นพกพาพลังงานอันบริส
เราจำเป็นต้องทำเช่นนี้อยู่ตลอด
๑๐ กันยายน ๒๕๕๖
เขียนที่หน่วยชีวันตาภิบาล (หน่วยสู่สุคติ) รพ.สงขลานครินทร์
อ่านบทความอาจารย์ ได้ความนิ่ง และได้การคิดใคร่ครวญ ได้สำรวจตรวจสอบหาความลึกซึ้งบนสิ่งต่างๆที่มักถูกมองข้ามไป เสมอๆ
การศึกษาต้องให้นิสิตนักศึกษาได้อยู่กับความจริงของสังคมและชุมชน
ขอบคุณบทความดีๆจากอาจารย์ครับ