๔/๐๘/๒๕๕๖
********
ต่อยอดความคิดจาก “งามกิริยา” สู่ "เสขิยวัตร"
ขอบคุณรูปภาพ จาก
ได้มีโอกาสเข้าไปอ่านบันทึกของคุณกุหลาบ มัทนา จากสมุดชื่อ “สิริจิปาถะ” เรื่อง "งามกิริยา" เกี่ยวกับกิริยามารยาทที่ว่าไม่งดงามในการรับประทานอาหารมาเมื่อวานนี้ ที่นี่
ก็ทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนในเรื่องวินัยให้กับพระสงฆ์ จะว่าไปแล้วหลักธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงและตรัสสอนนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เป็นการแสดงหรือสอนต่อพระภิกษุสงฆ์ หากว่าพระสงฆ์ทั้งหลายได้นำหลักพระธรรมวินัยนั้นมาประยุกต์ใช้หรือประยุกต์สอนให้กับพุทธบริษัทกันอีกครั้งหนึ่ง
และหลักความประพฤติด้านกิริยามารยาทในการแสวงหาอาหารและนำอาหารมาบริโภคนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในพระวินัยบัญญัติ ชือว่า (เสขิยวัตร ) โดยตรง หากแต่คำสอนโดยอ้อมยังมีอยู่ในที่อื่น ๆ อีกมาก จึงอยากนำมาเสริม บันทึกที่ชื่อว่า “งามกิริยา” ดังกล่าวมานี้ ในแบบที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายสามารถอ่านแล้วนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน โดยปรับสำนวนเสียใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันตามที่ผู้เขียนเข้าใจ
เสขิยวัตร หมายถึง วัตรที่พุทธบริษัทจะต้องศึกษาธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทในด้านต่าง ๆ ในที่นี้เน้นเรื่องการรับประทานอาหาร(โภชนปฏิสังยุต)เท่านั้น
พึงทำความเข้าใจหรือเรียนรู้ (หนังสือนวโกวาทท่านใช้คำว่า “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า...”) แล้วปฏิบัติตามเกี่ยวกับมารยาทในการรับประทานอาหาร ๓๐ ประการ คือ
๑. เราจักเข้ารับอาหารที่มีผู้ประกอบให้แล้วด้วยความเอื้อเฟื้อ ไม่เรื่องมาก เลือกมาก และไม่ทำหกเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนบริเวณนั้น เช่น ในห้าง โรงแรมหรืองานสัมมนาต่าง ๆ
๒. เราจักแสดงความสงบเสงี่ยมเมื่อเข้ารับอาหาร ตักอาหาร ไม่พูดคุย ส่งเสียงดัง หยอกล้อ ส่ายหน้าไปมา ควรมองและประคองภาชนะใส่อาหารไม่ให้หกหล่น
๓. เราจักตักอาหารแต่น้อยพอสมควรกับข้าวสุก ไม่ตักเอาอาหารที่ชอบมามากจนผู้มาทีหลังต้องผิดหวัง จนไม่มีอาหารพอรับประทานกับข้าวได้
๔. เราจักตักอาหารมาเฉพาะพอแก่ตนเองรับประทานเท่านั้น ไม่ตักจนล้นถ้วยจาน หกเลอะเทอะเรี่ยราด
๕. เราจักรับประทานอาหารด้วยอาการสงบ ไม่ส่งเสียงดังพูดจากถากถางว่า อาหารไม่อร่อย ทำด้วยอะไร ควรรักษาน้ำใจเจ้าภาพและเจ้าของงาน
๖. ขณะรับประทานอาหาร ควรมองที่ภาชนะใส่อาหารหรือบนโต๊ะเท่านั้น ไม่ควรมองคนนั้นที คนโน้นที หรือสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น
๗. เราจักตักข้าวในหม้อให้เรียบเสมอไม่ขุดลึก ๆ เฉพาะตรงกลาง และใส่จานไม่ให้เลอะเทอะติดขอบจาน ข้าวเหนียวไม่ควักเฉพาะตรงกลางอย่างเดียว
๘. เราจักรับประทานข้าวและกับให้หมดพร้อมกัน ไม่ควรทานแต่กับข้าวที่อร่อยเพียงอย่างเดียวโดยเหลือข้าวค้างจานไว้จำนวนมาก
๙. เราจักรับประทานอาหารโดยเกลี่ยเมล็ดข้าวและกับข้าวให้เรียบร้อยเสมอ ขณะที่รับประทาน ไม่ทำให้เลอะเทอะติดขอบจานหรือร่วงตกหล่นลงบนพื้น
๑๐. เราจักไม่เอาข้าวสุกปิดทับกับข้าวโดยหวังว่า จะได้รับกับข้าวเพิ่มมากขึ้นอีก โดยที่ไม่มีผู้เห็นหรือทักท้วง
๑๑. เราจักไม่ขอกับข้าวหรือข้าวสุกนอกเหนือจากที่เขามีบริการไว้แล้ว โดยร้องเรียกส่งเสียงอันดังโดยไม่เกรงใจใคร
๑๒. ขณะรับประทานอาหารไม่ควรมองดูจานข้าวและกับข้าวของเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ นอกจากจะเสียมารยาทแล้ว ยังก่อให้เกิดความอิจฉาหรือความโลภขึ้นได้
๑๓. เราจักไม่ตักอาหารให้เต็มหรือพูนจนล้นช้อน เพราะจะทำให้อ้าปากกว้างเต็มปาก ดูไม่สุภาพ
๑๔. เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อมตะล่อมให้พอดีคำ และพยายามไม่ให้หกขณะนำเข้าปาก
๑๕. เราจักไม่อ้าปากกว้าง ๆ ไว้รอท่า ขณะที่คำข้าวยังมาไม่ถึงปาก
๑๖. เราจักไม่นำนิ้วมือสอดเข้าไปในปากในลัษณะดูดนิ้ว(เหมือนเด็ก) และหากมีสิ่งใดติดฟันก็ควรใช้ไม้จิ้มฟันและควรใช้ผ้าหรือมือปิดบังเอาไว้ขณะเขี่ยออก
๑๗. เราจักไม่พูดคุยขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก และไม่ตักข้าวเข้าใส่ปากเพิ่มอีกเมื่อยังเคี้ยวข้าวไม่หมดและยังไม่ได้กลืนลงคอ
๑๘. เราจักไม่โยนคำข้าว เช่นข้าวเหนียว เข้าปาก ไม่โยนอาหารที่เป็นเม็ดหรือเป็นแผ่น เช่น ขนมขบเคี้ยว ลูกอม(เหมือนโฆษณาชิ้นหนึ่ง) เข้าปาก โดยเปิดปากอ้ารออยู่ก่อนแล้ว
๑๙. เราจักไม่รับประทานโดยกัดคำข้าว เช่นข้าวเหนียวปั้นยาว ๆ แล้วกัดกิน หรือกัดกินอาหารที่ชิ้นยาว ๆ โดยไม่ได้หั่นหรือตัดเป็นชิ้น ๆ เช่น ใส้กรอก กล้วย แตงไทย มะละกอ ควรหั่นเป็นชิ้น ๆ เสียก่อนค่อยรับประทาน
๒๐. เราจักไม่รับประทานอาหารโดยทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย หรือทานอาหารเข้าไปมากจนแก้มตุ่ย ควรทำอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ
๒๑. เราจักไม่รับประทานไปด้วยเล่นไปด้วย(เหมือนเด็ก) เล่นสะบัดมือ เล่นช้อนส้อม แกะเกาตามตัว และพูดเล่นลิ้นกับคนข้าง ๆ
๒๒. เราจักไม่รับประทานให้เมล็ดข้าวหล่นจากช้อน หล่นบนชามข้าว หล่นบนพื้นและบนหน้าตักของตนเอง
๒๓. เราจักไม่รับประทานอาหารโดยแลบลิ้นเลียอาหาร และเลียช้อน ชามโดยอาการว่าอร่อยหรือเสียดาย เช่น เลียไอศกรีม เป็นต้น
๒๔. เราจักไม่รับประทานอาหารให้เกิดเสียงดับจั๊บ ๆ หรือดังจุ๊บ ๆ ควรเคี้ยวช้า ๆ เน้น ๆ และไม่อ้าปากกว้าง
๒๕. เราจักรับประทานอาหารไม่ให้เกิดเสียงดังซูด ๆ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นน้ำ เช่น ต้ม ซุป มาม่า เครื่องดื่ม ควรดูให้รู้ก่อนว่าอาหารนั้นร้อนหรือเย็นควรทานขณะนั้นได้หรือไม่
๒๖. เราจักไม่รับประทานอาหารไปด้วยเลียมือไปด้วย แบบอาการอร่อยจนน่าเสียดายสิ่งของที่ติดอยู่บนมือ และสิ่งของอื่น ๆ เช่น ช้อน ตะเกียบก็ไม่ควรเลียเช่นกัน
๒๗. เราจักรับประทานอาหารไม่ให้เกิดเสียงดัง หรือขูดขีดกับภาชนะ เช่น จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ บนโต๊ะอาหาร
๒๘. เราจักไม่รับประทานอาหารโดยแลบลิ้นเลียริมฝีปาก หากมีเศษอาหารติดควรใช้ผ้าเช็ดปากหรือกระดาษทิชชูเช็ดออก
๒๙. เราจักไม่นำมือที่เปื้อนเศษอาหารหรือเปื้อนมันมาจับแก้วน้ำดื่ม ควรเช็ดมือให้สะอาดก่อน หรือใช้ทิชชูห่อแก้วน้ำก่อนจับยกมาดื่ม
๓๐. เราจักรับประทานอาหารให้หมดจาน ไม่ควรให้เหลือค้างไว้อย่างน่าเสียดาย เมื่อหมดแล้วให้เกลี่ยเศษที่เหลือลงถังที่เตรียมไว้ ใช้ทิชชูเช็ดพอหมาดแล้วนำไปวางเรียงเป็นชั้น ๆ เพื่อทำการชำระหรือล้างต่อไป
การประยุกต์ใช้หลักเสขิยวัตรทางพุทธศาสนามาปรับใช้ในชีวิตของยุคสมัยประจำวันอาจจะดูขัดเคืองกับความเป็นจริงอยู่บ้าง หากแต่สิ่งเหล่านี้ “น่าอัศจรรย์ใจ” ยิ่งนักว่า พระพุทธองค์ท่านทรงรู้ เข้าใจ และได้ทรงสอนพระภิกษุหรือผู้สืบทอด “พุทธวงศ์”ของท่านมาก่อน ตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว
อาจด้วยความที่อยากให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสต่อพระภิกษุสงฆ์ด้วยแนวทางปฏิบัติที่ดูสงบเสงี่ยม เรียบร้อย ปราณีต งดงามด้วยกิริยามารยาท ดังกล่าวมาก็ตามที แต่สิ่งเหล่านี้หากพุทธบริษัทได้นำมาประพฤติปฏิบัติตามก็เป็นที่เชื่อได้ มั่นใจได้ว่า “ไม่อายหลักสากล” เหมือนกัน
เป็นมารยาททางสังคมนะคะ สมัยเด็ก ๆ พี่ได้เรียนเรื่องนี้ด้วยค่ะ หลักสูตรสมัยก่อนมีสิ่งดี ๆ ก็มากนะคะ
หลักเสขิยวัตร ===> เป็นการสอนให้คน “งดงาม” นะคะ ขอบคุณบันทึกดีดีนี้ค่ะ
ขอบคุณจ้ะพี่หนาน
บ่น่าเจื้อเนาะเจ้า ว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เปิ้นทรงฮื้อความฮู้ทันสมัยอย่างอี้.....เสขิยวัตร หมายถึง วัตรที่พุทธบริษัทจะต้องศึกษาธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทในด้านต่าง ๆ ในที่นี้เน้นเรื่องการรับประทานอาหาร(โภชนปฏิสังยุต)เท่านั้น....
มนุษย์คนหนึ่งคิดได้ยังงัย น่าทึ่งมากครับ
ขอบคุณมากค่ะพี่หนาน กุหลาบเพิ่งได้เรียนรู้เรื่อง "เสขิยวัตร" วันนี้เอง อัศจรรย์ใจมากที่หลักคำสอนของพระพุทธองค์ช่างละเอียด ละออ มากและไม่เคยล้าสมัยเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ที่พระองค์ทรงสั่งสอนมาถึง 2,600 ปีและยังใช้ได้ทุกกาลเวลาจนถึงเดี๋ยวนี้ มีหลาย ๆ ข้อที่กุหลาบจะต้องระมัดระวังและสำรวจตัวเองหลายข้อ เช่นแอบมอง (แอบจริง ๆ)อาหารของคนอื่น เมื่อเห็นว่าหน้าตาน่ากินก็สั่งตาม คงทำนองเดียวกันที่เห็นคนอื่นมองมาที่รถเข็นของเราขณะที่กำลังจับจ่ายซื้อของ กุหลาบเคยนึกขำ ๆ ว่ามองอะไร นึกเองบ้างซินะ :)
ถ้ากุหลาบเป็นครู กุหลาบจะนำคำสอนเหล่านี้ไปถ่ายทอดต่อให้นักเรียนทุกรุ่นค่ะ จะได้หล่อหลอมจากเบ้าเดียวกัน เรียบร้อยงดงามกันไปหมด เขาก็จะเป็นพ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ของลูกหลานของเขาต่อไป ขอบคุณมาก ๆค่ะพี่หนาน