ในภาคเรียนนี้คุณครูชั้น ๖ เลือกห้องเรียน ๖/๔ ของคุณครูยุ้ย – สุรีย์ เป็นห้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องเล่าความสำเร็จ เพราะห้องเรียนนี้สะอาดและสงบดี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่คุณครูชั้น ๖ ทุกคนได้มาใช้เวลาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความสำเร็จเกิดขึ้นในชั้นเรียน
คุณครูวิ - วิสาขา ข่าทิพย์พาที ได้บอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้เด็กๆ เกิดแรงบันดาลใจในการทำการทดลอง และมีความเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (ownership) เป็นคนแรก
คุณครูวิ เล่าถึงการเรียนรู้เรื่อง “เขตภูมิอากาศแบบต่างๆ” ของนักเรียนชั้น ๖ ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ โดยใช้อุปกรณ์เพียง ๒ อย่าง คือ ไฟฉาย และกระดาษ ซึ่งเด็กๆ ทุกคนสามารถได้ทดลองทำด้วยตัวเองอย่างทั่วถึง เพียงแค่ปิดไฟในห้องเรียนให้มืดลง แล้วให้เด็กแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน ทุกคนจะได้รับกระดาษขาวคนละ ๑ แผ่น และไฟฉายกลุ่มละ ๑ อัน
เหตุใดคุณครูวิ ถึงเลือกใช้ไฟฉายกับการทดลองนี้
คุณครูวิเล่าให้ฟังว่า ไฟฉายคืออุปกรณ์ที่หาได้ง่าย และที่สำคัญคือ แสงของไฟฉายมีลักษณะเหมือนลำแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก ส่วนแผ่นกระดาษก็เปรียบเสมือนผิวโลก ที่เมื่อเอียงกระดาษไปเรื่อยๆ ก็เทียบเท่ากับการโค้งของผิวโลกที่ไม่เสมอกัน จึงทำให้การได้รับแสงจากดวงอาทิตย์มีความเข้มของแสงไม่เท่ากัน
ที่มาของแรงบันดาลใจ
คุณครูวิได้แรงบันดาลใจในการนำอุปกรณ์ไฟฉายมาใช้กับการทดลองเรื่องนี้มาจากครูคู่วิชา คือ คุณครูอัม – อัมภิณี ที่ได้สืบค้นและเห็นการทดลองลักษณะนี้ใน YouTube ซึ่งเป็นการทดลองที่ทาง สสวท. นำมาเผยแพร่ แต่เป็นการทดลองที่ใช้สอนเด็กมัธยม ดังนั้น คุณครูอัมจึงเกิดความคิดที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับเด็กในระดับประถมดู จึงนำมาแลกเปลี่ยนกับครูวิ
ตัวคุณครูวิเองเพิ่งเปลี่ยนจากการสอนคณิตศาสตร์มาสอนหน่วยวิชาธรรมชาติศึกษาและประยุกต์วิทยาในภาคเรียนนี้ จึงยังใหม่กับการเรียนการสอน แต่เมื่อได้ฟังก็เกิดความสนใจที่จะทำการทดลองนี้ เพราะเมื่อคุณครูอัมแลกเปลี่ยนแนวคิดในการทำการทดลอง ก็สังเกตว่าตนเองก็สามารถเข้าใจได้ง่ายดาย จึงคิดว่าเด็กก็น่าจะสามารถเข้าใจได้เช่นกัน
ในชั้นเรียน
ก่อนเริ่มทดลอง คุณครูวิตั้งคำถามกับนักเรียนว่า ถ้าต้องการให้แสงของไฟฉายส่องกระทบเป็นมุมฉาก นักเรียนจะต้องทำอย่างไร ? ทุกคนก็สามารถแสดงท่าทางการส่องไฟฉายในลักษณะตั้งตรงเป็นฉากไปยังกระดาษ
คำถามถัดมาคุณครูวิถามว่า ถ้าต้องการให้แสงส่องไปยังกระดาษให้มีมุมตกกระทบน้อยลงจะทำอย่างไร? มีนักเรียนบางคนเสนอว่าให้เอียงไฟฉาย
คุณครูวิจึงตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าไฟฉายเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ แสดงว่า ถ้าเอียงไฟฉาย ก็หมายความว่า แสงอาทิตย์กำลังส่องแสงเอียงมายังโลก ณ เวลานั้น มีนักเรียนอีกคน เสนอว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่งแสงเอียง เพราะความเป็นจริงดวงอาทิตย์ส่องแสงตั้งตรงมายังโลก เพียงแต่โลกมันเอียง ดังนั้น จึงควรเอียงกระดาษมากกว่า
เริ่มทำการทดลอง
ขั้นแรกส่องไฟฉายเป็นแนวตรงไปยังกระดาษและใช้ดินสอวงพื้นที่ที่แสงตกกระทบไว้ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงรี ต่อจากนั้นก็เคลื่อนกระดาษเฉียงลง ทำให้แสงจากไฟฉายที่ส่องลงมายังกระดาษมีความเข้มที่จางลง และมีลักษณะเป็นวงใหญ่ขึ้น เมื่อเคลื่อนเฉียงลงไปเรื่อยๆ แสงที่ตกกระทบลงไปยังกระดาษก็ดูจางลงเรื่อยๆ และมีลักษณะวงใหญ่ขึ้น
เมื่อเสร็จสิ้นการทดลองก็มาถึงช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นักเรียนสะท้อนผลของการทดลองว่า เมื่อแสงของไฟฉายส่องตรงมายังกระดาษโดยที่ไม่ได้เอียงกระดาษ แสงจะตกกระทบบนกระดาษเป็นลักษณะวงรี และมีความเข้มของแสงมาก โดยพื้นที่ที่มีความเข้มของแสงมากก็จะได้รับความร้อนมาก บริเวณนี้จึงเป็นภูมิอากาศเขตร้อน ส่วนเมื่อเอียงกระดาษโดยให้แสงจากไฟฉายส่องตรงไปเหมือนเดิม พบว่าพื้นที่ที่ได้รับแสงเป็นวงที่กว้างขึ้นและมีความเข้มน้อยลง มีความร้อนลดลง จึงเป็นภูมิอากาศเขตอบอุ่น
คุณครูวิจึงชวนคิดย้อนทวนกลับไปยังคาบเรียนก่อนหน้านี้ ที่นักเรียนได้ทำการทดลองเรื่องมุมตกกระทบที่แตกต่างกันของแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก จากบริเวณที่แสงตกกระทบ ๙๐ องศา จนถึง ๐ องศา นักเรียนทุกคนก็เกิดความเข้าใจทันทีว่า แสงตกกระทบจาก ๙๐ องศา จนถึง ๐ องศาจะมีความเข้มน้อยลงเรื่อยๆ และความเข้มที่ได้รับมาก็เทียบเท่ากับความร้อน ดังนั้น ความร้อนก็ลดลงไปเรื่อยๆ ตามมุมตกกระทบ จึงส่งผลให้เกิดเขตภูมิอากาศแบบต่างๆ บนโลกขึ้น
เมื่อจบชั้นเรียน คุณครูวิรู้สึกดีที่แม้นักเรียนที่เรียนรู้ได้ช้าก็ยังสามารถสร้างเรียนรู้จากการทำการทดลองครั้งนี้ได้ และสามารถสรุปความเข้าใจที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ได้ครบถ้วน การทดลองนี้จึงเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จได้เป็นอย่างดีว่า การทดลองง่ายๆ ก็สามารถก่อการเรียนรู้ได้อย่างดี ถ้ามีแนวคิดของการเรียนรู้ที่ชัดเจน
เรียบเรียงโดย
ครูเล็ก - ณัฐทิพย์ วิทยาภรณ์
ไม่มีความเห็น