...ฟังธรรมในโบสถ์คริสต์...
ลุงชาติได้รับแจ้งว่ามีญาติคนนึงได้เสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บที่คนส่วนใหญ่เป็นแล้วว่ากันว่า “ไม่มีทางรอด” ญาติลุงชาติก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มไม่มีทางรอดด้วย เขาเป็นคริสต์ศาสนิกชน จึงต้องไปทำพิธีฝังไว้ในสุสาน ณ.วัดคริสต์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
ลุงชาติขับรถไปเพื่อให้ทันงานในพิธีซึ่งจะเริ่มในเวลา 10.00 น. แต่เราต้องออกจากบ้านตั้งแต่ 06.00น. เพราะเป็นเช้าวันศุกร์ซึ่งคนกรุงเทพฯต่างรู้ดีว่ารถราจะติดกันแค่ไหน ไปถึงวัดถึงงานที่ต่างจังหวัดที่ห่างจากกรุงเทพฯแค่ร้อยกว่ากิโลเมตรในเวลา 09.30 น. ยังพอมีเวลาได้คุยกับเจ้าภาพก่อนเริ่มพิธีได้นิดหน่อย เหตุที่ต้องคุยเพราะเราเป็นพุทธซึ่งไม่รู้เรื่องราวพิธีในทางคริสต์เลย คุยได้สักพัก ทางวัดก็ตีระฆัง เป็นสัญญาณเริ่มพิธี
บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างเข้าไปในโบสถ์ ลุงก็เข้าไปด้วย เจ้าภาพก็อธิบายให้ฟังว่า ปกติทั่วไปโบสถ์จะปิดไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ แต่วันนี้มีงาน ถ้าลุงจะถ่ายภาพก็ถ่ายได้ตามสบาย ลุงดูสภาพในงานแล้ว ผู้คนต่างเศร้าหมอง ก็คิดอยู่ในใจ แล้วเราจะถ่ายอะไรล่ะ ภาพออกมาเศร้าๆอย่างที่เราเห็นมันจะน่าดูตรงไหน หลวงพ่อที่ทำพิธีก็บอกอีกว่า พิธืทางคริสต์จะมีอริยาบถหลายอย่าง และหลายครั้ง เข่น ยืน นั่ง คุกเข่า สำหรับเราที่เป็นพุทธ ถ้าไม่สะดวกก็ให้นั่งอย่างเดียวก็ได้
แล้วหลวงพ่อที่ทำพิธีก็ขึ้นทำพิธีไป มีการสวดรับ ประสานกันทั้งผู้สวดและแขกที่มาในงาน ลุงฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง ส่วนใหญ่ไม่รู้ซะมากกว่า แต่มีอยู่ตอนนึงที่หลวงพ่อท่านเทศน์สั่งสอนได้น่าสนใจมาก ท่านเทศน์คล้ายเล่าเรื่องกึ่งนิทานให้ฟัง...
ชายคนหนึ่ง มีเพื่อนอยู่สามคน เพื่อนคนแรกเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุด ไปไหนไปด้วยกันทุกครั้ง มีงานเลื้ยงงานรื่นเริงที่ไหนไปด้วยกันตลอด เพื่อนคนที่สอง ก็เป็นเพื่อนที่สนิท แต่สนิทน้อยกว่าเพื่อนคนแรกนิดนึง คือบางงาน เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้ไปด้วย ส่วนเพื่อนคนที่สาม เป็นเพื่อนที่สนิทน้อยที่สุด ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกัน นานๆจะได้เจอกันที
อยู่มาวันนึง ชายคนนี้เกิดมีปัญหาขึ้นมาถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลถึงขั้นเกี่ยวพันกับชีวิต เขาได้ไปหาเพื่อนคนแรกให้ช่วยไปด้วยจะได้คอยช่วยเหลือกัน เพื่อนคนแรกของเขาตอบว่าไม่ว่าง ไปด้วยไม่ได้ ชายคนนี้จึงได้ไปหาเพื่อนคนที่สอง เขาได้คำตอบจากเพื่อนคนที่สองว่า ไปด้วยก็ได้ แต่จะไม่เข้าไปในโรงในศาลด้วย และเมื่อชายคนนี้ไปหาเพื่อนคนที่สาม เพื่อนคนที่สามได้ฟังความเดือดร้อนของเขาก็ตอบตกลงที่จะมาเป็นเพื่อนมาช่วยเขาด้วยความเต็มใจ
อุปมาอุปมัยเมื่อเปรียบเทียบเพื่อนทั้งสามคนของชายผู้นี้
เพื่อนคนแรก เปรียบเสมือนเงินตรา ซึ่งมีความสำคัญ มีความจำเป็นกับเรามาก ไปไหนก็ต้องเอาไปด้วย ยกเว้นตอนตาย เงินตราไม่ยอมตามเราไปด้วย แม้แต่เงินที่ใส่ไปในโลงศพ เราก็เอาไปด้วยไม่ได้
เพื่อนคนที่สอง เปรียบเสมือนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั่วไปที่คบค้ากับเรามาด้วยดี พบปะพูดคุยกันบ้าง มีกิจกรรมร่วมกันบ้าง ไม่เจอกันงานหนึ่ง เดี๋ยวอีกงานก็มีโอกาสได้เจอกัน แต่พอเราตาย เขามากับเราแค่ที่วัดที่สุสานเท่านั้น
เพื่อนคนที่สาม เปรียบเสมือนคุณงามความดี ที่นานๆเราจะได้พบกันสักที บางคนแทบจะไม่ได้เจอกันเลย แต่คุณงามความดีนี้ถ้าใครได้คบได้พบได้เจอ คุณงามความดีนี้ต่างหากที่ยอมไปกับเราในทุกที่ และพร้อมที่จะช่วยเราตลอดเวลา
วันนี้ลุงชาติไม่ได้ภาพอย่างที่ตั้งใจ ทุกครั้งที่ลุงชาติไปถ่ายภาพก็จะได้ความสุขกลับมาด้วยทุกครั้งจากการถ่ายภาพ แต่ครั้งนี้แปลก ไม่ได้ภาพอย่างที่อยากได้ แต่ก็ยังกลับมาอย่างอิ่มเอม แม้จะรู้สึกอาลัยเสียใจกับการจากไปของญาติผู้นี้
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจที่ดีเสมอมา
ขอบคุณ gotoknow
ที่ให้พื้นที่ในการแบ่งปันความสุข
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ คุณลุงชาติ ที่ได้นำประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปัน ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ
มาร่วมอิ่มเอมใจด้วยคนค่ะลุงชาติ
เขียวมรกต สวัสดีครับ
ขอบคุณมากครับ
kunrapee สวัสดีครับ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณgotoknowที่มีพื้นที่ให้
ขอบคุณลุงชาติที่นำลงข้อความดีๆ
จะเป็นของท่านใดหรือของศาสนาใดอย่าไปอคติกับท่านเหล่านั้น
ดูที่เนื้อหาสาระของท่านช่างดีมีประโยชน์และลึกซึ้งมากทีเดียว
ขอบคุณครับ
เครื่องหมาย ? คำถามเดี่ยว สวัสดีครับ
ขอบพระคุณท่านมากครับ