จิตของคนเป็นสุดยอดแห่งความกลับกลอก
นี่ คือ สิ่งที่ได้เรียนรู้กับตนเอง
อันนี้เป็น “จิตข้างในของหนูเอง”
ตั้งใจจะทำอย่างหนึ่ง มันก็หาเรื่อง เบี่ยงไปอีกทาง
สร้างปัญหาอุปสรรค ให้ตนเอง ให้สิ่งที่ตั้งมั่นไว้ไม่สำเร็จ
จิตนี้ หาก ไม่ประกอบด้วยสติแล้ว
มันก็ดีแต่จะพาไปทำชั่ว
ไปนอนบ้าง ไปเที่ยวเล่น คิด ฟุ้งซ่านท้อแท้
แต่พอใช้อุบายที่ครู เมตตาชี้ หายใจไป หายใจสบาย เรียกสติ
มีหน้าที่อะไรทำไป ก็พอจะพยุงตัวได้
สามสี่วันที่ผ่านมา
มันแต่ท้อแท้ใจ จนกลับจะพลาดท่าให้กิเลส
“ล้มเลิกทุกอย่างกับตนเอง”
เพราะคิดเอาเองว่า “หนูมันไม่มีวาสนา ตั้งท่าจะทำอะไรก็ล้มเหลวไปซะหมด”
นี่มันหลอกเอาแบบนี้
พอได้สติ หลวงพี่เมตตาให้กำลังใจ
สิ่งที่หลวงพี่ใช้แก้ให้ เหมือนแบบที่ครูเมตตาแก้ให้หนูแบบเดียวกันเลยค่ะ
ทั้ง ๆที่ ทั้งสองท่านไม่ได้คุยกัน
ผู้มีธรรมะ ท่านเมตตาหนูไปในแนวทางเดียวกันเลยค่ะ
พอหันไปเผชิญหน้ากับทุกข์ ค้นหาอะไรที่มันไปยึดมั่น
แล้วก็หาไม่เจอ เพราะมันไม่มี
พิจารณาสภาวะ เข้ากับไตรลักษณ์
ก็หัวเราะแล้วสารภาพกับหลวงพี่ว่า “มันปึกเหนาะ”
ท่านหัวเราะแบบเมตตาสงสาร หนูซาบซึ้งสิ่งที่ครูชี้ และหลวงพี่เมตตามาย้ำ
เพราะหนูไม่รักษาสัจจะ ตั้งใจแล้วไม่ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่รู้จักฝืนกิเลส ไม่อดทนข่มใจ ทำ
เหมือนคนเลี้ยงลูกเอาแต่ใจ ลูกมันก็เสียเด็กหน่ะซิ
จิตหนูก็แบบนั้น
แล้วหลวงพี่ก็เมตตาบอกว่า “ครูให้ทำอะไร ทำโลด ท่านรู้จักเราดี ท่านเห็นกว้างไกลกว่า”
“เชื่อท่าน ถ้ามันจะตาย ก็ให้ตายคาตีนครูบาอาจารย์ ดีกว่าตายเพราะกิเลส”
ยังไงก็ให้ไปวัด มันจะอยากไปหรือไม่อยากไปก็ให้ไป
ครูบาอาจารย์ท่านจะอย่างไร นั่นคือ ท่านกำลังสอน
กำลังขัดเกลาใจให้เรา เรียนเอา
นี่คือ ความเมตตาที่หนูได้รับตลอดเส้นทางการฟันฝ่า ทั้งครู ทั้งหลวงพี่คอยเมตตาประคับประคอง สาธุ ๆ ๆ เจ้าค่ะ
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ สู้ๆๆ