“วงจรชีวิตของนวัตกรรม” (Innovation Lifecycles)
องค์กรส่วนใหญ่ มักใช้ความสำเร็จในอดีตที่ตนเองเคยทำได้ มากำหนดเป็นวิธีการและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในอนาคตขององค์กร แต่บ่อยครั้งก็มักทำให้เกิดปัญหาความไม่สอดคล้องกับความต้องการใหม่ๆของตลาด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมไปถึงโอกาสใหม่ๆที่องค์กรพึ่งให้ความสำคัญ เพื่อให้ได้นวัตกรรมแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Innovations) และทำให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและมองเห็นความสำคัญของ วงจรชีวิตของนวัตกรรม (Innovation Lifecycle) มากขึ้น (ภาพประกอบที่ 1) ขอยกตัวอย่างวงจรชีวิตของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นกับเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งเกิดเป็นนวัตกรรมแบบก้าวกระโดดครั้งแรกตอนที่มีผู้คิดค้นเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่ายเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ แต่ต่อมาบริษัท IBM (เป็นผู้ที่อยู่นอกวงการเครื่องพิมพ์ดีด) ก็สามารถทำให้เกิดนวัตกรรมแบบก้าวกระโดดมาแทนที่เครื่องพิมพ์ดีดแบบเดิมด้วยการผลิตเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่มีความสามารถเหนือกว่าออกมาจำหน่ายในช่วงระยะเวลาต่อมา แต่แล้วด้วยวิวัฒนาการความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี Computer กับ Printer และ Software ใหม่ๆ (เริ่มตั้งแต่ Word Processor เปลี่ยนไปเป็น Microsoft word 2008 ในปัจจุบัน) ก็ทำให้ธุรกิจเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าของบริษัท IBM ต้องตกยุคและหายไปจากวงการในที่สุด
ข้อควรระวัง
เพื่อเป็นการป้องกันและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจทำให้ สินค้าหรือบริการ ที่ท่านดำเนินการอยู่ต้องตกยุคไป เหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าของ IBM (หรือเหมือนกับม้วนเทปวีดีโอ ที่ถูกแทนที่ด้วยแผ่น VCD และ DVD) ทุกองค์กรก็ควรต้องให้ความสำคัญและสนใจกับเรื่องของภัยคุกคาม(Threats) ที่มากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโอกาสใหม่ๆ(Opportunities) ที่เกิดขึ้นกับทุกๆธุรกิจตลอดเวลา
จากภาพประกอบที่ 2 จะเห็นว่า S-Curve คือวงจรชีวิตของนวัตกรรมในตลาดเดิม (เช่นเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า) ส่วน New S-Curve คือวงจรชีวิตของนวัตกรรมในตลาดใหม่หรือธุรกิจใหม่ (เช่นเครื่อง Printer และ Computer Software แบบใหม่ๆ) ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าถ้าหากองค์กรใดที่พัฒนาสินค้าหรือบริการเดิมๆของตนเองในแบบค่อยเป็นค่อยไปเพียงอย่างเดียว (หรือที่เรียกว่าเป็น Incremental Innovation) ในระยะยาวธุรกิจคงไม่สามารถยืนอยู่ได้ เนื่องจากขาดสินค้าหรือบริการในรูปแบบใหม่ๆ ดังนั้นทุกๆองค์กรก็ควรต้องมีความพยายามในค้นหานวัตกรรมที่เป็นแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Innovation) เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่ๆหรือธุรกิจใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการคิดแบบนอกกรอบ(Out of the Box)เข้ามาช่วย การคิดนอกกรอบในที่นี้หมายถึง กล้าคิด กล้าทำ กล้าลงทุนในสิ่งใหม่ๆที่ตนเองไม่เคยทำมาก่อน เพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการที่แตกต่างไปจากเดิม และเป็นสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่ (เช่น รถยนต์ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน หรือ โทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ เป็นต้น )
ภาพประกอบที่2 - วงจรชีวิตของนวัตกรรมในตลาดเดิมและตลาดใหม่
ทุกๆองค์กรควรต้องมีกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนด้านนวัตกรรมให้เหมาะสมกับ สถานการณ์และความจำเป็นของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ธุรกิจมีความยั่งยืน ซึ่งในที่นี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ แบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental innovation) และแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Innovation) แบบค่อยเป็นค่อยไปหมายถึง การพัฒนาปรับปรุงคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการต่างๆที่มีอยู่ให้แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายสำหรับรถยนต์แต่ละรุ่นของแต่ละยี่ห้อ หรือ เช่นการพัฒนาโทรศัพท์มือถือให้สามารถถ่ายรูปได้ ดูหนังฟังเพลงได้ เล่น MP3 ฟังวิทยุและดูทีวีได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเพิ่มยอดขายและรักษาส่วนแบ่งการตลาด เป็นหลัก ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนด้านนวัตกรรมแบบก้าวกระโดดนั้นจะมุ่งเน้นให้เกิดการคิดค้นรูปแบบของสินค้าหรือบริการใหม่ๆที่สามารถสร้างคุณค่า(Value)ให้กับลูกค้า(ในระดับโลก) หรือ สามารถนำมาใช้ทดแทนสินค้าเดิมได้ดีกว่า เช่น การคิดค้น Laser Jet Printer มาใช้แทน เครื่องพิมพ์ดีด หรือ การคิดค้นเสื้อยืด Nano ออกมาจำหน่ายเป็นครั้งแรก เป็นต้น โดยแต่ละองค์กรสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ในการลงทุนด้านนวัตกรรมที่แตกต่างกันไป(ต่างกรรมต่างวาระ) แต่โดยทั่วไปแล้วองค์กรที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งและองค์กรที่กำลังเติบโต ก็มักใช้กลยุทธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental innovation) เพื่อหาทางเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าหรือบริการเดิมที่มีอยู่เป็นหลัก ส่วนองค์กรที่เติบโตเต็มที่แล้ว ก็มักต้องใช้กลยุทธ์ทั้งสองแบบคือ แบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental innovation) และแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Innovation) ควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อต้องการรักษาตัวเลขของกำไรและความพึงพอใจของลูกค้า (ไม่ใช่ต้องการเพิ่ม Market Share) พร้อมไปกับการมองหาธุรกิจใหม่ๆในอนาคต เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ไม่มีความเห็น