ความรู้เชิงวิชาการมีอยู่ในนักวิชาการ ได้มาจากการวิจัย และจากกิจกรรมวิชาการอื่นๆ เช่นการอ่าน การถกเถียงแลกเปลี่ยนสารสนเทศและข้อคิดเห็น ฯลฯ
ความรู้เชิงประสบการณ์ มีอยู่ในผู้ปฏิบัติ ได้มาจากประสบการณ์การปฏิบัติ หรือการทำงาน
ความรู้สองอย่างนี้ทดแทนกันไม่ได้ และคนเราจะมีความรู้สองอย่างนี้ไม่เท่ากัน
ความรู้เชิงวิชาการ ไม่ใช่ความรู้สำเร็จรูปที่จะนำไปใช้ปฏิบัติได้ทันทีหรือโดยตรง
การนำความรู้เชิงวิชาการ หรือเชิงทฤษฎีไปใช้ จึงต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ในการ "ปรุง" ความรู้นั้นให้เหมาะต่อสถานการณ์ หรือ กาลเทศะ และบุคคล
ความรู้เชิงวิชาการยิ่งใหญ่กว่าความรู้เชิงประสบการณ์ตรงมันมีความยืดหยุ่นมากกว่า มีความจำเพาะน้อยกว่า สามารถเอาไปปรับใช้ได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
ความรู้เชิงประสบการณ์ มีความยิ่งใหญ่กว่าตรงที่มันมีรายละเอียดมาก มีความจำเพาะต่อสถานการณ์นั้นๆ มันมีจิตวิญญาณของผู้คนอยู่ในนั้น
จะเห็นว่าความรู้สองชนิดนี้ ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ใช่การลือกใช้ความรู้ชนิดใดชนิดหนึ่งในสองชนิด แต่เป็นเรื่องของการเอาความรู้ทั้งสองชนิดมาผสมผสานกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่องาน และต่อการเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติงาน
กล่าวเช่นนี้อาจจะผิด เพราะเป็นการเอาความรู้เป็นตัวตั้ง ในความเป็นจริงต้องเอางานหรือผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นตัวตั้ง แล้วเลือกว่าจะใช้ความรู้ใดบ้างมาใช้ คือมองความรู้เป็นเครื่องมือ (means หรือ tool) ในการบรรลุผล
ในชีวิตจริง เราเริ่มที่เป้าหมายว่าต้องการสร้างโต๊ะ แล้วจึงไปหาไม้ ตาปู เลื่อย กบไสไม้ ฯลฯ สำหรับเอามาสร้างโต๊ะ
ในชีวิตจริง เราไม่ได้สร้างโต๊ะเพราะเรามีเลื่อย จึงคิดสร้างโต๊ะ แต่ในหลายกรณีเราตกหลุมพรางนี้ คือมีความรู้เพียงชิ้นสองชิ้นก็คิดทำงานใหญ่ โดยลืมคำนึงไปว่างานใหญ่นั้นจริงๆ แล้วต้องการความรู้อีกเป็นร้อยเป็นพันชิ้นที่เราไม่มีหรือเราคิดไม่ถึง
คนที่ตกหลุมพรางแบบนี้ มักเป็นนักวิชาการหรือนักทฤษฎี ไม่ใช่นักปฏิบัติ
นักทฤษฎี KM ต้องไม่ตกหลุมพรางนี้
วิจารณ์ พานิช
7 ตค. 49
บนเครื่องบิน แอลเอ - ฮ่องกง ปรับปรุงเพิ่มเติมที่สนามบินฮ่องกง
ไม่มีความเห็น