ทำอย่างไร
จึงจะมีความสุขในการทำงาน
ความสุขของคฤหัสถ์หรือผู้ครองเรือนข้อหนึ่งก็คือ การทำงานที่ไม่มีโทษ อันเป็นมงคลชีวิตข้อที่ 18 นั่นเอง งานราชการถือว่าเป็นงานที่มีเกียรติและชอบด้วยกฎหมาย ประเพณี ศีลธรรม แต่หากข้าราชการทำงานด้วยจิตผูกโกรธผูกพยาบาทด้วยขัดแย้งในผลประโยชน์ ทำงานเฉื่อยชาแบบเช้าชามเย็มชาม หรือหมกหมุ่นการเที่ยวการกินมากกว่าเวลาทำงาน ก็ถือว่า ไม่ชอบด้วยหลักธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ว่างานที่ตัวทำเป็นงานที่มีโทษ...ก็สายไปเสียแล้ว ดังตัวอย่างที่มีปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
คนที่ทำงานมีความสุข เมื่อสังเคราะห์ดูปัจจัยหลักๆ มักจะพบว่า เป็นคนที่รักและเห็นคุณค่าของงานที่ทำ รู้สึกมีเกียรติ สังคมยกย่องยอมรับ จากการได้รับมอบหมายให้ทำงานที่สำคัญ ท้าทายความรู้ความสามารถ อยู่ในความสนใจของสังคม หน่วยงาน เพื่อนร่วมงาน ทุกคนเต็มใจอยากเข้ามาร่วมคิดร่วมทำ ให้การส่งเสริมสนับสนุน มีโอกาสได้ทำงานในบรรยากาศที่อบอุ่น ปลอดภัย เป็นมิตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานพร้อม มีหัวหน้าหน่วยงานหรือหัวหน้างานที่มีภาวะผู้นำสูง สามารถเป็นหลัก พึ่งพาได้
ปัจจัยที่เอื้อการทำงานอย่างมีความสุขนี้ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในหน่วยงานภาครัฐที่เต็มไปด้วยระเบียบขั้นตอน ระบบสายบังคับบัญชา มีวัฒนธรรมการทำงานที่อิงนโยบายหรือตัวบุคคลมากกว่ามาตรฐานเชิงประจักษ์ แม้ว่าปัจจุบันจะมีระบบประเมินเพื่อรับรองผลการปฏิบัติราชการ ที่มีผลต่อเงินโบนัส และมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่หน่วยงานทางราชการที่ดีๆ ก็ยังไม่ปรากฏรูปธรรมการพัฒนาที่ยั่งยืนมากนัก อย่างไรก็ตาม ในความเป็นปัจเจกบุคคลของคนทำงานราชการ ก็สามารถพัฒนาตนเองให้มีความสุขในการทำงานได้ ด้วยหลักปฏิบัติ 9 ประการ
1. มองทุกอย่างในแง่ดี ทำใจว่า เพื่อนร่วมงานทุกคนมาจากเบ้าหลอมที่ต่างกัน มีประสบการณ์ ภูมิหลังที่แตกต่างกัน ในคนๆหนึ่งย่อมมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย ความสุขของคนหนึ่งอาจเป็นความทุกข์ของคนหนึ่ง แต่ทุกคนก็สามารถทำงานร่วมกันได้บนความแตกต่าง
2. ยินดีกับการได้รับความช่วยเหลือ ได้รับความร่วมมือ ได้รับการแบ่งปัน ทุกคนมีคุณค่าเสมอในการทำงานร่วมกัน เครือข่ายการทำงานที่ดีย่อมทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
3. ให้อภัยในความบกพร่องผิดพลาดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงานถือว่าความผิดพลาดคือบทเรียนที่มีค่า ที่ต้องเรียนรู้จดจำไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
4. พูดกับทุกคนอย่างสร้างสรรค์ ให้กำลังใจเมื่อเหนื่อยหนัก ให้ข้อคิดเมื่อประสบปัญหา ให้เกียรติเมื่อร่วมงาน ให้การยกย่องเมื่อประสบผลสำเร็จ
5. ปลดปล่อย ผ่อนคลาย ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำใจให้ว่าง พร้อมที่จะรับรู้ พร้อมที่จะทำความเข้าใจ แก้ไข ปรับปรุง และไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปใส่ใจในสิ่งที่ผิดหลักความจริง ผิดแผกกฎธรรมชาติ ให้เสียสุขภาพจิต
6. สนุกไปกับงาน ทำให้ถูกเวลา ถูกวิธีทำอย่างเต็มใจ ขยัน ตั้งใจและเข้าใจ งานที่ทำด้วยใจอาจจะเหนื่อยแต่ไม่เครียด ผิดกับงานที่ทำเอาหน้าหรือทำเอาโล่...ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด
7. เปลี่ยนมุมมองใหม่ในงานที่ทำเช่น ลองทำงานแบบตั้งรับสู่การรุกสู่กลุ่มเป้าหมายที่แคบแต่ลึก เปลี่ยนการรับปฏิบัติตามนโยบายเป็นการออกแบบโครงการจากการสังเคราะห์นโยบาย ลองวิจัยทั้งเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ ปรับการประเมินคุณภาพด้วยตัวเลขผลสัมฤทธิ์เป็นการประเมินด้วยกระบวนการใหม่และนวัตกรรมผลผลิต ทั้งนี้ค้นหาวิธีการใหม่ หนีความซ้ำซากจำเจ
8. รับทำงานหรืออาสาทำหน้าที่ในงานที่ถนัด ตรงกับความรู้ความสามารถที่แท้จริง การได้งานที่ถูกใจย่อมเป็นความสุขใจในเบื้องต้น เป็นความใส่ใจในการทำงานในเบื้องกลาง และเป็นความพึงพอใจภาคภูมิใจในการทำงานในเบื้องปลาย
9. ทำงานอย่างมีศิลปะ เชื่อมั่นว่า งานที่ทำเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อสังคมและตัวเอง ต้องใช้กระบวนการทางปัญญาออกแบบวางแผนทำงานอย่างปราณีต ละเอียด รอบรอบ และปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ หมั่นปรึกษาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ สร้างสรรค์กลวิธีทำงานใหม่ๆ ให้เกิดสีสัน สะท้อนบรรยากาศการทำงานที่ดี
น่าลองทำดูนะครับ...ขอบคุณมากครับ
มีประโยชน์มากเลยครับ รับปฏิบัติ
่ตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า คนที่มีความสุขกับการทำงาน เป็นคนที่ ไม่หวังผลภายนอกที่จะได้รับจากการทำงาน และ เป็นคนที่พ่อแม่เลี้ยงดูแบบให้คุ้นเคยกับการทำอะไรด้วยตัวเองมาแต่เด็ก จึงรักงานทุกชิ้นที่จับ และยินดีช่วยงานโดยไม่คิดเล็กคิดน้อย
อยากจะสรุปว่า เกิดจากปัจจัยภายในของแต่ละคน