ให้ความรักความเมตตาแก่กันและกัน...


การดูแลการให้ความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนทุก ๆ คน สอนพระทุกรูป สอนโยมทุกคนต้องมีเมตตาเค้าให้หมด ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีคนชั่ว “ถ้าเราเอาแต่คนรวย คนจนจะเอาไปทิ้งที่ไหน ถ้าเราจะเอาแต่คนดี คนชั่วเราจะไปทิ้งที่ไหน” ที่ใจเราเป็นอย่างนี้เพราะใจของเราไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม ถูกต้องมั๊ย เราลองมาดูหัวใจของเรา...!

การประพฤติการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนมาแก้ไขตัวเอง  เพราะว่าปัญหาต่าง ๆ ของเรามันอยู่ที่เราทั้งหมด

เราทุกคนน่ะรักสุขเกลียดทุกข์ มีความเห็นแก่ตัว มีความยึดมั่นถือมั่นว่านี่ตัวเรา ว่านี่ของเรา ว่านี่พ่อเราแม่เรา ว่านี่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเรา พากันมาประพฤติปฏิบัติมันก็เพื่อเราอีกนั่นแหละ เพื่อเราจะได้สวรรค์เราจะได้พระนิพพาน อะไรก็มีแต่เรา มีแต่ตัวตนทั้งนั้น มันมีแต่ผลประโยชน์ เพราะว่ามันมีความมุ่งหวังคือตัวเราคือของ ๆ เรา จิตใจของเรามันเลยไม่เป็นธรรม ไม่มีความยุติธรรม คนอื่นสัตว์อื่นน่ะที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา  ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เค้าจะมีความยากลำบากอย่างไรส่วนใหญ่เราก็ไม่สน เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจ...


พระเทวทัตน่ะครั้งที่จะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าก็เพราะว่าเรื่องผลประโยชน์  ที่พระเทวทัตทำสงฆ์ให้แตกแยกก็เพราะเรื่องผลประโยชน์ เพราะถ้าปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าได้ก็จะได้มีลาภสักการะ การที่เราทำบาปทำกรรมก็เพราะผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะความเห็นแก่ปากแก่ท้องแก่ความสะดวกสบาย จึงเป็นเหตุให้เบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น

เราคิดดูดี ๆ นะเรามีความเห็นแก่ตัวมากน่ะ...!

เราเกี่ยวข้องกับหมู่มวลมนุษย์คนไหนที่จะได้ประโยชน์สำหรับเราน่ะ เราก็ดูแลดี  เทคแคร์ดี แต่ถ้าคนไหนจะมาเอาผลประโยชน์กับเรา เป็นคนที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเรา นอกจากเราจะต้องเป็นผู้ที่ให้เค้าน่ะ หรือว่าเค้าเป็นคนยากคนจน ทุกคนก็ไม่อยากเกี่ยวข้อง ทุกคนก็ไม่อยากสนใจนะ นี้แหละมันถึงเป็นเหตุให้แตกแยกในหมู่คณะ แตกแยกในหมู่สงฆ์ แตกแยกในหมู่ประชาชน ประเทศชาติ พระศาสนา ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเราทุก ๆ คนนี้แหละ ไม่ได้คิดเลยว่าประชาชนคนทั้งหลายทั้งปวงน่ะ เค้าก็เป็นญาติพี่น้องเกิดแก่เจ็บตายกับเราด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนให้ทุกคนน่ะเป็นผู้กตัญญูกตเวที เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการดูแลเอาใจใส่คนอื่น คนเรานะถ้าแม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็ยังไม่ดูแลไม่สนใจน่ะเค้าเรียกว่า “คนไม่ดี เป็นคนยี่ห้อไม่ดี...”

การดูแลคุณพ่อคุณแม่ หรือว่าเห็นคุณเห็นประโยชน์ในผู้อื่นน่ะเป็นคุณธรรมเป็นสมบัติของคนดี

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราดูแลเสนาสนะให้อย่างดี ดูแลห้องน้ำห้องสุขาให้ดี ดูแลจีวร ดูแลบาตรให้อย่างดีด้วยกลัวมันจะขาดมันจะแตกจะผุพัง

ยกตัวอย่าง... อย่างของสงฆ์ทุกอย่างนี้แหละ จะเป็นกุฏิวิหารหรืออุปกรณ์ในการก่อสร้าง หรือวัสดุที่เอามาก่อสร้างอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราดูแลอย่างดี ไม่ให้ถือว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ของ ๆ เราน่ะ เราเพียงมาอาศัยชั่วคราว เราคิดอย่างนี้แหละ ความคิดอย่างนี้มันเป็นบาป อย่างเราเอาจอบไปใช้หรือเอาไม้กวาดไปใช้ หรือเอาทุกอย่างไปใช้ต้องเก็บ  ต้องรักษาให้อย่างดีกลัวมันเสียหายเร็ว ถ้าเราไม่ดูแลไม่รักษาอย่างดีเราก็บาปน่ะ

อย่างวัดเราอย่างนี้แหละ ครูบาอาจารย์ก็เมตตาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มารักษาศีลปฏิบัติธรรมเพื่อมาสร้างความดีร่วมรวมกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราดูแลเค้าเทคแคร์เค้า ต้อนรับเค้าเป็นอย่างดี ให้ความรักความเมตตาว่าเค้าจะอยู่อย่างไรกินอย่างไร..?

ไม่ใช่ว่าเค้าคนนี้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จักของเรา แล้วเค้าก็ไม่ใช่คนที่จะผลประโยชน์ให้เงินให้สตางค์เรา เราก็เลยคิดว่าเราจะไปดูแลเค้าจะไปอุปัฏฐากเค้าทำไม..? ถ้าเราคิดอย่างนี้จิตใจของเราก็เป็นบาป เพราะเรามันเห็นแก่ตัว


ส่วนใหญ่คนที่ยังไม่ได้ภาวนาไม่ได้พิจารณาน่ะเค้าจะไม่สนใจคนอื่นเลยนะ  เหมือนชาวบ้านต่างประเทศบางประเทศ บ้านใกล้เคียงกันก็ไม่สนใจกันหรอก ไม่รู้จักว่าบ้านข้าง ๆ เราเค้าเป็นใครมาจากไหนทำอะไร เค้ามีความสุขมีความสบายมั๊ย ก็เพราะเค้าไปเน้นในทางเอาแต่เงินเป็นพระเจ้า เอาเงินเป็นใหญ่ เอากฎหมายเป็นใหญ่ ถ้าเราทำอย่างนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักดูแลคนอื่น ไม่รู้จักสนใจคนอื่น เพราะว่าเราไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากเค้า ไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ไม่ถูกต้อง

เราปฏิบัติอย่างนี้น่ะพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าปฏิบัติธรรมะนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตามใจตัวเอง ตามกิเลสตัวเอง คนเรามันเห็นแก่ตัวน่ะ โยมวัดบางคน หรือว่าพระบางรูปน่ะ ถ้าเห็นโยมคนไหนเค้ารวย ๆ อะไรอย่างนี้ก็ดูแลอย่างดี เทคแคร์เค้าอย่างดี  ทำอย่างนั้นมันก็ถูกต้อง แต่ว่ามันไม่ถูกต้องกับที่คนจน ๆ คนที่ไม่มีผลประโยชน์ ถ้าเห็นคนจน มาหรือคนไม่มีประโยชน์มาอะไรไม่ให้ ไม่ดูแล เฉย ๆ กันน่ะ

เหมือนกับพระที่ยังหนุ่มอยู่ที่ยังไม่หมดกิเลสนี้แหละ เวลาเด็กนักเรียนมาหรือว่าสาว ๆ มาอะไรอย่างนี้ให้เทศน์ให้สอนกี่ชั่วโมงก็ได้ ถ้าเป็นโยมแก่ ๆ ที่หมดความสวยความงามแล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดคุยด้วย ไม่มีกะจิตกะใจที่จะบอกจะสอน นี่แสดงว่าเรากำลังทำผิดกำลังคิดผิด ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย เราไปเทศน์ไปสอนแต่คนอื่น แต่พระพุทธเจ้าท่านว่าเราไม่ได้เทศน์ ไม่ได้สอนตัวเอง ยิ่งคนแก่อีกไม่นานเค้าจะละสังขารแล้ว เราควรจะเมตตา ควรจะสงสาร ควรจะให้กำลังใจบอกสอนเค้า

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเกี่ยวข้องให้มันถูกต้องและก็สมควร ไม่ให้มากเกินไม่ให้น้อยเกิน ไม่ใช่รู้จักกับโยมคนโน้นคนนี้อะไรทุกอย่างก็จะไปเกี่ยวข้องจะไปจัดการให้เค้าหมด  เกินความเป็นพระเป็นเณรเป็นสมณะของเราน่ะ

พระพุทธเจ้าท่านกลัวพระจะหลงเรื่องผลประโยชน์เรื่องลาภสักการะ เพื่อที่จะไปอุปัฏฐากโยม เพื่อที่จะไปประจบประแจงโยมมากเกิน มันไม่ถูกต้อง มันไม่ยุติธรรม

การดูแลการให้ความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนทุก ๆ คน สอนพระทุกรูป สอนโยมทุกคนต้องมีเมตตาเค้าให้หมด ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีคนชั่ว “ถ้าเราเอาแต่คนรวย คนจนจะเอาไปทิ้งที่ไหน ถ้าเราจะเอาแต่คนดี คนชั่วเราจะไปทิ้งที่ไหน” ที่ใจเราเป็นอย่างนี้เพราะใจของเราไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม ถูกต้องมั๊ย เราลองมาดูหัวใจของเรา...!


การภาวนาการปฏิบัติน่ะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตามกิเลส ตามความคิดเรา  ตามอารมณ์เรา เพราะเรายังเป็นคนบาปอยู่ เป็นคนที่เผาจิตใจของตัวเองน่ะ มันเผาตัวเองทุกอิริยาบถเลย

ต้องให้รู้จักยับยั้งตัวเองให้มีความอดความทนน่ะ  มันอยากไปเราก็ไม่ไป เราอยากพูดเราก็ไม่พูด เราอยากทำก็ไม่ทำน่ะ ทบทวนจิตใจของเราให้มันสงบมันเย็น ถ้าเราไม่ทบทวนน่ะเราจะเป็นคนไม่หนักไม่แน่น เป็นคนความรู้ท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด จบปริญญาหลายใบก็ยังใช้ไม่ได้

ในชีวิตประจำวันของเรานี้ต้องทำให้ใจของเรามันสงบใจของเรามันเย็น เพราะสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันอยู่ในอริยมรรคในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรานี้แหละ เราไม่ต้องไปหาพระนิพพานไกลหรอก พระนิพพานมันอยู่ที่กายวาจาใจของเรานี้แหละ

ปรับให้ได้... เราไม่ต้องแก้ไขคนอื่น ไม่ต้องปรับปรุงคนอื่น ต้องแก้ไขที่เราที่ตัวเรา

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเข้ากัมมัฏฐานน่ะ... กัมมัฏฐานมันไม่ได้ออยู่ที่ไหนหรอก  มันอยู่ที่กายวาจาใจของเรา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี้แหละ ให้สงบไว้ ให้มันเย็นไว้  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วมันตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไปอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรมากกว่านี้

เราวิ่งไปหาความสงบมันไม่ถูกนะ เพราะว่าความสงบมันไม่ได้อยู่ที่อื่น ความสงบมันอยู่ที่ใจของเรามันสงบน่ะ ที่เราจะไม่อยากเห็นรูป ไม่อยากฟังเสียง ไม่อยากให้มันมีโลกธรรมน่ะอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง อันนั้นมันว่างจากสิ่งที่ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้ว่างจากสิ่งที่มี

อย่างพระใหม่ พระบวชใหม่นี้แหละท่านถึงให้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้าไม่ให้เที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ไม่ให้ตามใจ นึกอยากอยู่ก็อยู่ นึกอยากไปก็ไป นึกอยากกินก็กิน นึกอยากนอนก็นอน ต้องฝึกจิตใจของเราให้มันเป็นคนไม่ตามใจตัวเอง

คนเราน่ะมันตามใจตัวเองจนมันเป็นโรคกระเพาะ มันตามใจตัวเองจนเป็นโรคประสาท ตามใจตัวเองจนเป็นโรคจิต จนเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี แต่ที่แท้น่ะมันเป็นคนหลงโลกหลงอารมณ์หลงกิเลสน่ะ

เหมือนเราที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างนี้นะมันก็ดีมันก็มีความสุข มันไม่มีเรื่องไม่มีปัญหา ที่นี้เราหลงโลกหลงอารมณ์อยากไปมีผัวมีเมียอย่างนี้แหละปัญหาต่าง ๆ มันเลยรุมมาทุกทิศทุกทางทั้งล่างทั้งบน มันครอบงำหมด นี้แหละมันถึงเรียกว่า “ครอบครัว” มันครอบไว้  มันขังไว้ มันขังเราไว้ในวัฏฏะสงสาร มีลูกก็สงสารลูก มีหลานก็สงสาร มีภรรยาก็ต้องห่วงภรรยา ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่นอยู่อย่างนี้แหละ เพราะอะไร...? ก็เพราะเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นการสร้างบาปสร้างอกุศลให้กับตัวเองนะ

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราหยุดให้เราเย็น นั่งให้มันสงบ เดินจงกรมให้มันสงบ ทำอะไรก็ให้มันสงบ มันจะคิดอะไร คิดเอาปราสาทเอาวิมานมันก็ไม่ได้ มันจะได้โรคประสาทโรคจิต  นั่นแหละผลลัพธ์ของมัน…


ทุกคนน่ะสิ่งที่ผ่านมามันผิดพลาดก็มาก น่าเสียดาย...

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าช่างหัวมัน แล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปพูดไม่ต้องไปทำมันอีก  เราไม่ต้องให้มันเป็นเหมือนที่ผ่านมา อย่าหันหน้าไปมองมันเลย หันหลังให้มันเลย  ไม่ต้องกลับไปมองมันอีก  มองในที่นี้ก็หมายถึงว่า เรื่องเก่า ๆ ที่มันเป็นจิตใต้สำนึกมันชอบผุดขึ้น มันชอบโผล่ขึ้นมาเราก็ปรุงไปเรื่อยน่ะ ของเก่า ๆ น่ะเราต้องทิ้งต้องปล่อยต้องวางแล้ว

ทุกคนนั้นมันจุกนะ มันจุกหน้าอกนะ มันแน่นหน้าอกนะ มันอึดอัดนะ

มันจุกก็ช่างหัวมัน... เพราะเรามันถูกหมัดของกิเลสมันก็ต้องจุก มันถูกทั้งศอกทั้งหมัดของกิเลส ถ้าเราไม่ตามใจมันก็อึดอัด เพราะว่ามันเป็นความเคยชิน มันเป็นสิ่งเสพติดสำหรับเราแล้ว ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแสนะ


เราต้องบังคับใจตัวเองนะ ใจของเรานี้ถ้าไม่บังคับไม่ได้

เราก็พากันดู ๆ เห็นพระก็วิ่งหาธรรมะ เห็นอุบาสกอุบาสิกาก็วิ่งหาธรรมะ  เห็นญาติโยมก็วิ่งหาธรรมะกันน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันเข้าใจเรื่องการปฏิบัติ  ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนแล้ว สมควรแล้วที่จะตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ นี่เราปฏิบัติไม่กี่วันไม่กี่เดือนไม่กี่ปีเราก็ต้องการแต่ผลประโยชน์ ถ้าเราต้องการผลประโยชน์ผลลัพธ์มันก็ต้องเผาตัวเอง  เพราะการปฏิบัติธรรมมันไม่ใช่เพื่อจะเอาผลลัพธ์น่ะ มันเป็นการปล่อยการวาง

ฝึกใจให้มันสงบ อย่าไปคิดมาก อย่างเค้าถือศีลห้าอย่างนี้นะ วันหนึ่งเค้าทานอาหารสามครั้ง เค้าก็ทานกันใช้เวลาประมาณไม่เกินสามสิบนาทีเค้าก็หยุด เค้าก็อิ่ม แล้วก็ปล่อยให้มันย่อยไปเลี้ยงร่างกาย เที่ยงวันถึงทานอีก ตอนค่ำถึงทานอีก ความคิดของเราก็เหมือนกันเราไปคิดมากเกินมันก็ปวดหัว เพราะใจของเราน่ะเราไม่รู้จักทำใจให้มันสงบ ไม่รู้จักทำใจ ให้มันเย็น เพราะธรรมะมันเป็นของสงบเป็นของเย็น สิ่งที่มันไม่สงบไม่เย็นน่ะก็คือใจของเรา

เราทำอะไรอยู่เราปฏิบัติอะไรอยู่ต้องให้มันเป็นธรรมะเกิดธรรมะ มันถึงจะเกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเราน่ะ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราประมาทน่ะ ความคิดเราก็ประมาทนะ รู้ว่าไม่ดีเราก็คิด  รู้ว่าไม่ดีเราก็ยังพูด รู้ว่าไม่ดีเราก็ยังทำนั่นแหละคือเราประมาท เราอาลัยอาวรณ์ในกิเลสของเราน่ะ เราก็ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยว่าอีกซักหน่อยถึงจะค่อยละค่อยทิ้ง  

คนเราต้องเน้นลงที่ปัจจุบันนะพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นปัจจุบันชั่วโมงหน้าก็เป็นปัจจุบัน ถ้าเราตัดชั่วโมงนี้ไม่ได้ อีกชั่วโมงหน้าเราจะตัดได้อย่างไร เพราะเราเป็นคนไม่อยู่กับปัจจุบัน ต้องแก้ตัวเองให้ได้ต้องปฏิบัติตัวเองให้ได้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านคนอดทนเอา จะเหนื่อยก็ช่างมัน จะตายก็ช่างมัน ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เข้าหากฎหาระเบียบ มันถึงจะปราบทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนของตัวเองได้ นอกจากพระธรรมคำสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทะเจ้าแล้วไม่มีอะไรที่จะมาแก้ไขตัวตนของเราได้

เพิ่มศรัทธาให้มากขึ้น ศรัทธาคือเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อย่าเอาตัวเองเป็นใหญ่ เป็นประธาน ต้องเอาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นประธานเราถึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนก็เบื่อโลกไม่อยากเกิดไม่อยากอย่างนี้แหละ ในโลกนี้มันยากมันลำบากมันมีปัญหา มันเบื่อไม่จริงนะ ถ้าเบื่อจริงน่ะมันก็ต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรมหาข้อวัตรปฏิบัติ

ด้วยการไม่ทำตามใจตัวเอง ด้วยการปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า พระธรรม  พระอริยสงฆ์ ให้ทุกท่านทุกคนจงมีดวงตาเห็นธรรมด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ....


พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

ค่ำวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 541350เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2013 21:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กรกฎาคม 2013 21:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

 .... ความรัก และ ความเมตตา (ที่มาจากในจริง)....  เป็นสิ่งที่จรรโลงโลกจริงๆ นะคะ ... ขอบคุณบทความดีดีนี้ค่ะ


    


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท