การอ่านออกเสียง |
การอ่านในใจ |
1. ถ่ายตัวอักษรออกเป็นเสียง |
1. ถ่ายตัวอักษรเป็นความคิด |
2. เหน็ดเหนื่อยกว่าเพราะต้องใช้ แรงออกเสียงก่อนถ่ายความคิด |
2. เหนื่อยน้อยกว่าการอ่านออกเสียงเพราะถ่ายความคิดโดยตรง |
3. ต้องคำนึงถึงผู้ฟังว่าจะฟังได้ชัดเจนถูกใจหรือไม่ |
3. ไม่ต้องคำนึงถึงผู้ฟัง เพราะมีตัวผู้อ่านเป็นผู้ฟังอยู่คนเดียว |
4. ต้องระมัดระวังการอ่านทุกถ้อยคำ ทุกวรรค ทุกประโยค ทุกตอนจะอ่านออกเสียงผ่านๆ เลยไปไม่ได้เป็นอันขาด |
4. อาจอ่านเพียงให้ทราบความเป็นส่วนรวม หรือจับใจความสำคัญพลความอาจอ่านข้ามๆ ไปได้ |
5. อ่านไปได้ช้ากว่าอ่านในใจเพราะความจำเป็นเกี่ยวกับผู้ฟังที่อาจแตกต่างกัน ทั้งพื้นความรู้ ความเข้าใจ สนใจ การได้ยิน ยิ่งผู้ฟังมีมาก ปัญหาเหล่านี้จะมากตาม |
5. อ่านไปได้เร็วกว่าอ่านออกเสียงอย่างแน่นอน ยิ่งผู้อ่านมีความพร้อมด้านความรู้ ประสบการณ์ร่างกาย ยิ่งอ่านเร็วขึ้นโดยไม่ต้องห่วงอะไร |
6. มีความลำบากในการคาดคะเนผู้ฟังตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งทำให้ความเร็วในการอ่านไม่ตายตัวต้องพยายามอ่านไม่ตายตัวต้องคิดที่อ่านได้ทัน เร็วเกินไปก็ไม่ดีเพราะตามไม่ทันช้าเกินไปก็น่าเบื่อ การอ่านให้นิสิตในมหาวิทยาลัยฟังย่อมใช้อัตราเร็วกว่าอ่านให้มัธยมฟัง เป็นต้น |
6. หมดภาระเรื่องคาดคะเนผู้อ่านอาจะเร่งอัตราเร็วได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ แต่อยู่ที่การพิจารณาตัวผู้อ่านเองว่า ควรจะได้เร็วเพียงใด การอ่านจึงจะได้ผลตามที่ต้องการ |
7. การอ่านออกเสียงเข้าใจเนื้อความที่อ่านได้ช้ากว่าอ่านในใจบางทีจะต้องเตรียมตัวก่อนโดยซ้อมให้พร้อมจะอ่านจริง โดยมีการแบ่งวรรคตอนเพื่อให้ความคิดออกมาชัดเจน |
7. การอ่านในใจเข้าใจเนื้อความได้รวดเร็วกว่าอ่านออกเสียงนอกจากไม่ต้องซ้อม ยังอาจเร่งความเร็วได้ กรณียังไม่เข้าใจอาจรีบกลับมาทบทวนใหม่ได้อีก |
จากหนังสือ กลเม็ดการอ่านให้เก่ง สำนักพิมพ์สถาภรบุ๊คส์
ชอบอ่านในใจมากกว่าคะตามเหตุผลข้างต้นเลย แต่อ่านออกเสียงก็ดีตรงที่ได้ฝึกอ่านว่าออกเสียงถูกต้องไหมด้วยนะคะ
การอ่านออกเสียงมีจุดมุ่งหมายแตกต่างจากการอ่านในใจอย่างไร