เว็บไซต์ อ.นพ.เกบ เมียคิน ตีพิมพ์เรื่อง 'เนื้อแดงเพิ่มเสี่ยงเบาหวาน (ชนิดที่ 2)', ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ภาพที่ 1: อาการที่พบบ่อยในเบาหวาน = เหนื่อยง่าย ปัสสาวะ (ฉี่) บ่อย, หิวบ่อย นกเขาไม่ขัน น้ำหนักลด แผลหายช้า(ช้ากว่า 2 สัปดาห์ หรือติดเชื้อง่าย), ตกขาว หรือเป็นโรคเชื้อราบริเวณใกล้ช่องคลอด, มือเท้าชาหรือเจ็บแปล๊บๆ, หิวน้ำบ่อย, มองเห็นไม่ชัด (จากเดิมเห็นชัด)
เบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบบ่อยในผู้ใหญ่-เด็กอ้วน ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน
กว่าจะมีอาการชัดเจนก็มักจะมีโรคแทรก เช่น แผลเท้าเบาหวาน ไตเสื่อม-ไตวาย ตาเสื่อม-ตาบอด ฯลฯ แล้ว
ภาพที่ 2: อังกฤษรณรงค์ให้คนจำอาการที่พบบ่อยในเบาหวานชนิดที่ 1 ในรูป '4T'
โรคนี้พบมากในเด็กผอม-ผู้ใหญ่อายุน้อย (น้อยกว่า 30 ปี) ซึ่งอาจมาด้วยอาการช็อค ได้แก่
ภาพที่ 3: อาการเบาหวานที่พบบ่อยได้แก่ รู้สึกไม่สบาย เหนื่อยง่าย ฉี่หรือปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย
ภาพที่ 4: อวัยวะที่เบาหวานชอบโจมตี หรือทำให้เกิดโรคแทรก
ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้จำเป็นคำคล้องจองกันว่า "หัว-หัวใจ-ไต-ตา-ตีน"
การศึกษาใหม่ ทำในกลุ่มตัวอย่าง 149,000 คน ติดตามไป 4 ปี
ผลการศึกษาพบว่า การกินเนื้อแดง หรือเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น แพะ แกะ วัว หมู ฯลฯ เพิ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานที่พบในผู้ใหญ่-เด็กอ้วน = 48%
ถ้ากินไปด้วย น้ำหนักขึ้นด้วย, ความเสี่ยงจะสูงกว่านั้น (มากกว่า 48%)
ตรงกันข้าม, ถ้าลดเนื้อแดงลงครึ่งหนึ่ง จะลดเสี่ยงโรคเบาหวานลง = 14% (เทียบกับคนที่ไม่ลดเนื้อแดง)
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า การกินเนื้อแดงเพิ่มเสี่ยงเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง
คนอเมริกันกินเนื้อแดง = 75.3 กก./ปี = 210 กรัม/วัน = 2.1 ขีด/วัน ทำให้มีโอกาสได้รับกรดไขมันอิ่มตัว และสารอื่นๆ ในเนื้อแดง เช่น ธาตุเหล็ก ฯลฯ มากเกินพอดี
การศึกษาเร็วๆ นี้พบว่า แบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนสารอาหารในเนื้อแดงเป็นสาร TMAO
สารนี้ทำให้หลอดเลือดสัตว์ทดลองบาดเจ็บ เกิดเป็นรูขนาดเล็ก ทำให้โคเลสเตอรอลรั่วซึมออกจากเส้นเลือดไปสะสมเป็นคราบไขที่ผนังหลอดเลือดได้เร็วขึ้น เกิดการอักเสบ หลอดเลือดบวม และตีบตันได้ง่ายขึ้น
ถ้าชอบเนื้อ, การลดเนื้อลงอย่างน้อย 1/2 ลดเสี่ยงได้
การกินโปรตีนจาก "ข้าว-ถั่ว-งา" โดยเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้องสีน้ำตาล-แดง, หรือขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีท (เติมรำสีน้ำตาล), กินถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตร และเมล็ดพืช เช่น งา อัลมอนด์ ฯลฯ หลายๆ อย่างปนกันในมื้อเดียวช่วยได้มาก
การไม่กินเนื้อทุกวัน เพื่อป้องกันแบคทีเรียที่ชอบย่อยสลายเนื้อเพิ่มจำนวนมาก น่าจะช่วยได้
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
Thank Dr.Gabe Mirkin > source > JAMA Intern Med, published online June 17, 2013.
บทความนี้เป็นไปเพื่อส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค, ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค
ท่านที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง จำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้
ยินดีให้ท่านนำบทความนี้ไปใช้ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต > CC: BY-NC-SA
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์
ไม่มีความเห็น