13 มิถุนายน 2556
วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดเทศกาลภาพยนตร์ผู้ลี้ภัยครั้งที่ 3 ( Refugee Film Festival ) ที่พารากอน ซีนีเพล๊กซ์ โดยงานนี้จัดขึ้นโดย ยูเอ็นเอชซีอาร์ งานเทศกาลหนังภาพยนตร์ผู้ลี้ภัย จัดขึ้นเนื่องในวันผู้ลี้ภัยซึ่งตรงกับวันที่ 20 มิถุนายน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 มิถุนายน ที่พารากอน ซีนีเพล๊กซ์โดยจะมีการฉายภาพยนตร์ สารคดีที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย
ภาพยนตร์ที่ถูกเลือกมาฉายในวันเปิดงานเทศกาลคือเรื่อง Pushing The Elephant เป็นภาพยนต์ที่นำเสนอเรื่องราวการกลับมาพบกันของแม่และลูกที่ได้พลัดพลาดจากกัน 10 ปี เพราะ สงครามกลางเมืองที่ คองโก
โรส มาเพนโด เธอสูญเสียสามีจากการถูกฆ่าตาย จากสงครามกลางเมือง ครอบครัวของเธอตกอยู่ในอันตรายเพราะไม่รู้เลยว่าวันไหนคนใดคนหนึ่งในครอบครัวจะถูกฆ่าตายอีกเธอและครอบครัวถูกกักขังไว้ในคุก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เแต่โชคดีที่วันหนึ่งเธอได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรสิทธิมนุษยชน ให้เธอและครอบครัวได้มาลี้ภัยที่สหรัฐอเมริกาพร้อมลูกของเธออีก 9 คน แต่ด้วยความจำเป็นเธอจำต้องทิ้งลูกสาวคนหนึ่งไว้กับพ่อและแม่ของสามีเธอ
หลังจากที่เธอและครอบครัวมาอยู่ที่อเมริกา ต่อมาเธอได้ผันตัวเองมารณรงค์เพื่อสร้างสันติภาพและการปองดอง และให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากสงครามในการสร้างชีวิตใหม่ แต่แม้ว่าที่นี่จะเป็นที่ที่ปลอดภัยต่อเธอและครอบครัวมากแต่เธอก็ไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้เพราะเธอกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของเธอ นันกาบีร์ ซึ่งยังคงอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ของสามีเธอในคองโก เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ลูกสาวของเธอได้มาอยู่กับเธอที่อเมริกา
ฝันของเธอเป็นจริง เธอได้พบกับนันกาบีร์ อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบกัน 10 ปี แต่นันกาบีร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้พบกับประสบการณ์ที่เลวร้ายจากสงครามกลางเมืองเช่นกัน โรสผู้เป็นแม่จึงต้องสอนให้เธอลืมเรื่องราวอันเลวร้ายที่เธอเคยประสบมา
หลังจบภาพยนตร์ผู้เขียนถึงกับน้ำตาซึม ผู้เขียนไม่เคยนึกว่าก่อนเลยว่าจะมีคนที่ต้องประสบกับความโชคร้าย และสูญเสียได้มากถึงเพียงนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนได้ทราบเรื่องราวของเพื่อนมนุษย์อีกทวีปหนึ่งซึ่งก็อยู่เป็นโลกเดียวกันกับที่ผู้เขียนอยู่แต่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันต่างกันราวกับอยู่กันคนละโลก นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้เรามองเห็นความทุกข์ของคนอื่น เห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยทำให้อยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและผลักดันให้มนุษย์ทุกคนตระหนัก และเคารพสิทธิในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นมากขึ้น
อย่างนี้ล่ะที่ควรใช้เป็นสไตล์การเขียน
อ่านรู้เรื่อง กินใจ
ใส่รูปด้วยซิ มันเป็นประวัติศาสตร์ของเธอนะ
เริ่มต้นทำงานทนายความจริงจังเสียทีนะคะ
เพิ่งได้มาอ่าน แต่เขียนได้ดีค่ะ แบบนี้แหละจ๊ะ เขียนในสิ่งที่เราได้รับรู้ในเชิงประจักษ์ และเขียน reaction ที่เรามีต่อประสบการณ์นั้น