๕๕ ปีสาธิตจุฬา ฯ เสาหลักการศึกษา พัฒนาแผ่นดิน
ปฐมบทปลูกปั้น
“เมื่อความรู้ยอดเยี่ยมสูงเทียมเมฆ แต่คุณธรรมต่ำเฉกยอดหญ้านั่น
อาจเสกสร้างมิจฉาสารพัน ด้วยจิตอันไร้อายในโลกา”*
๕๕ ปี
นับเป็นเวลากว่ากึ่งศตวรรษ ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำปรัชญาพิพัฒนานิยม (progressivism) มาใช้จัดการศึกษา เพื่อ “สาธิต” ความก้าวหน้าหลายประการ จนกลายเป็นแบบอย่างที่ทรงคุณค่าแก่สังคมไทย หน้าประวัติศาสตร์ของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๐๑ จากวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมด้วยปรีชาญาณของศาสตราจารย์
ท่านผู้หญิง พูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ
อยุธยา ปฐมคณบดีของคณะครุศาสตร์ขณะนั้น
หาได้หมายถึงแต่เฉพาะการเกิดขึ้นของโรงเรียนในมหาวิทยาลัยไทยเท่านั้นไม่ แต่ยังเป็นการประกาศปณิธาน ที่จะสืบสายธารความคิดของนักปรัชญาพิพัฒนาการนิยม อันเป็นสำนักคิดทางปรัชญาที่ก้าวหน้าในขณะนั้น ให้ดำรงตั้งมั่นในสังคมไทยได้
ด้วยสำนักคิดนี้ มีความเชื่อพื้นฐานว่า ความรู้อันมีมากในตำรา หาได้เป็นความรู้ที่แท้จริง
เพราะมิอาจจะทำให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนค่านิยมความคิด ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต ที่ถึงสมบูรณ์ ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมได้
แต่ประสบการณ์ที่ทรงคุณค่านั้นต่างหาก ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
โรงเรียนสาธิตจึงเป็นสถาบันอันมีเป้าหมายในการสร้างประสบการณ์อันหลากหลาย
เน้นการบูรณาการแบบองค์รวม และการคิดสร้างสรรค์นับแต่นั้น
จากนักเรียนรุ่นที่ ๑ จำนวน ๕๖ คน และอาจารย์ ๖ คน
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เติบโตก้าวหน้ามาเป็นอันมาก กระทั่งถึงปี
พ.ศ. ๒๕๑๒ โรงเรียนเห็นว่า ทรัพยากรทุกด้าน อันมีคณาจารย์และผู้เรียนเป็นอาทิ
ได้มีมากบริบูรณ์และมั่งคงในระดับหนึ่งแล้ว
จึงสมควรที่จะขยายโรงเรียนออกเป็นฝ่ายประถมและฝ่ายมัธยม เพื่อพัฒนาให้เป็นเสาหลักของการสาธิตศึกษาทั้งสองระดับต่อไป
ในการนี้ โรงเรียนอันประกอบด้วยผู้บริหารและคณาจารย์ จึงได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาจำนวนมาก
ที่ได้ก่อให้เกิดกระแสการเคลื่อนไหวต่อการศึกษาไทยหลายประการ อาทิ การริเริ่มพัฒนาระบบการจัดการศึกษาในรูปแบบ ๖ : ๓ : ๓
การจัดตั้งหน่วยเทคโนโลยีทางการศึกษา
การจัดตั้งหน่วยห้องสมุดและเทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูล การเปิดรายวิชาแนะแนว การจัดสร้างห้องปฏิบัติการของทุกสาขาวิชา การเปิดวิชาเลือกเสรีจำนวนมาก การจัดห้องเรียนแบบคละความสามารถ
เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็น "สิ่งแรก" ในวงการศึกษาไทย
ปัจจุบันอันมี
“แม้คุณธรรมสูงเยี่ยมถึงเทียมเมฆ แต่ความรู้ต่ำเฉกเพียงยอดหญ้า
ยอมเป็นเหยื่อทรชนจนอุรา ด้วยปัญญาอ่อนด้อยน่าน้อยใจ”*
๕๕ ปี ผ่านไป โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีนักเรียนนับพัน คณาจารย์นับร้อย ก้าวสู่ความเป็นสถานศึกษาขนาดใหญ่ใจกลางมหานคร จากเรือนไม้ห้องแถว พัฒนามาเป็นอาคารอันทันสมัยสวยงาม
มีสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ กระทั่งได้รับรางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ที่สำคัญ ยังเพียบพร้อมด้วยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา
เชี่ยวชาญศาสตร์การสอนในสาขาวิชาเฉพาะ และจัดการศึกษาถึงสามมิติ กล่าวคือ จัดการศึกษาแก่ผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นมิติแรก จัดการศึกษาด้วยการสอนและนิเทศ แก่นิสิตระดับปริญญาบัณฑิตในสาขาวิชาต่าง ๆ
ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งในสาขาวิชาเฉพาะ และในวิชาประสบการณ์วิชาชีพครูเป็นมิติที่สอง และให้บริการสังคมด้วยการจัดอบรมครูประจำการในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ
เพื่อยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูเป็นมิติที่สาม การจัดการศึกษาในทุกมิติ
ล้วนตั้งอยู่บนหลักการของการวิจัย สร้างสรรค์นวัตกรรม ทั้งสื่อการเรียนการสอน
เทคนิค รูปแบบ วิธีการ และกระบวนการเรียนการสอน จึงอาจกล่าวได้ว่า นอกจากผู้รับบริการ คือ ผู้เรียน นิสิต และครูประจำการ จะได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถสูงขึ้นแล้ว คณาจารย์ของโรงเรียน ยังได้ศึกษาค้นคว้าความรู้ใหม่อยู่เสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาวิชาของตนให้ก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
มิให้ย่อหย่อนเสื่อมถอย ดังจะเห็นได้จากปัจจุบัน
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรม ที่ส่งเสริมทั้งทักษะทางวิชาการ และทักษะชีวิตให้แก่ผู้เรียนเป็นจำนวนมาก เช่น โครงการความร่วมมือทางวิชาการกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือโครงการเรียนล่วงหน้า (CU-APprogram)ที่นักเรียนผู้มีศักยภาพสูง สามารถเข้าไปศึกษาในรายวิชาระดับปริญญาบัณฑิตของคณะต่าง ๆ ใน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการประเมินผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
(ทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์) ที่นักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตด้านการทำงานเป็นทีม
และการบูรณาการความรู้ด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ
จัดเป็นการแสดงที่เสริมสร้างคุณธรรมและให้ข้อคิดในการดำรงชีวิต นอกจากนี้
ยังมีโครงการของคณาจารย์ เช่น โครงการพัฒนาแบบเรียนในวิชาต่าง ๆ
โครงการพัฒนาความสามารถในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ และโครงการพัฒนาการวิจัย เป็นต้น
ปัจจุบันของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จึงเป็นปัจจุบันที่ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการศึกษาอันเป็นแบบอย่างที่เหมาะควรแก่การศึกษาไทย
สู่วิถีอนาคต
“หากความรู้สูงล้ำคุณธรรมเลิศ แสนประเสริฐกอปรกิจวินิจฉัย
“จะพัฒนาประชาราษฎร์ทั้งชาติไทย ต้องฝึกให้ความรู้คู่คุณธรรม”*
กาลอันประมาณมิได้ข้างหน้า โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวิสัยทัศน์ว่า จะยังคงธำรงมั่น สถิตอยู่เป็นสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติ เคียงคู่สถาบันชาติ เพื่อสร้างสรรค์ผู้เรียนและคณาจารย์ผู้มีเกียรติถึงพร้อม กล่าวคือ ผู้เรียน จะเป็นผู้มีใจใฝ่รู้ คิดสร้างสรรค์ เป็นผู้นำทางปัญญาและความถูกต้อง มี “คุณธรรม” นำ “ความรู้” แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้มีกิริยามารยาทดี อ่อนน้อม เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม รับใช้สังคม และแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนของสังคมที่เขาดำรงอยู่ คณาจารย์จะอุทิศตนเพื่อความก้าวหน้าของสรรพวิทยาการ ดำรงเกียรติแห่งตนด้วยการรับใช้การครุศึกษา เพื่อพัฒนาครูประจำการให้มีมาตรฐานทางวิชาชีพ ด้วยการใช้นวัตกรรมและแนวทางอันเป็นแบบอย่างสำหรับนำไปปฏิบัติ และบริหารจัดการโรงเรียนในทุกมิติด้วย ยึดมั่นในหลักการ “ก้าวหน้า” อันเป็นหัวใจของปรัชญาที่โรงเรียนยึดถือ และสืบทอดมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนี้ เพื่อให้สมกับปณิธานแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ว่า “เกียรติภูมิ จุฬา ฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน” และโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะดำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งการรับใช้การศึกษาชาติ มิใช่แต่ในฐานะสมบัติทางประวัติศาสตร์ของการศึกษาไทย แต่ในฐานะผู้นำที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้วงการศึกษาอยู่เสมอ
(* ปรัชญาของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประพันธ์โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณอำไพ สุจริตกุล อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ และอดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ไม่มีความเห็น