เช้าวันนี้ที่ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คุณครู...ได้เปรยขึ้นว่า
"เมื่อคืนมานอนคิด ๆ ดู เคยบอกว่าไม่กลัวตายแต่พอเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ บ้าน่าดูเลย อยู่ข้างในสุดแต่ดันกระโดดออกมา่ก่อนเพื่อนเลย หันไปมองวราภรณ์ยืนนิ่งสมกับเป็นคนมีสมาธิ แล้วรู้เลยว่าเป็นคนที่ "คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง"
"หนูเสียสละให้คุณครูไปก่อนค่ะ" ฉันพูดจากใจจริง
ฉันลืมเหตุการณ์เมื่อวานตอนเช้าเสียสนิทเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน ถ้าคุณครู...ไม่พูดฉันก็คงไม่สะดุดกับคำพูดของคุณครู
อดย้อนถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญซึ่งมีผู้ร่วมชะตากรรมสามคนประกอบด้วย ฉัน คุณครู...ซึ่งฉันเคยเป็นศิษย์เก่า และ น้องฝึกสอนผู้ชายร่วมสถาบันเดียวกัน พวกเราขึ้นลิฟท์พร้อมกันตั้งแต่ชั้นหนึ่งเพื่อไปห้องพักครูซึ่งอยู่ชั้นสี่ ลิฟท์ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นช้า ๆ แต่แล้วอยู่ ๆ เมื่อมาถึงชั้นสองก็เกิดอาการกระตุกอย่างแรง ประมาณสองสามครั้ง ราวกับคนสะึอึกรู้สึกโคลงเคลงเหมือนแผ่นดินจะไหว ทุกคนต่างมองหน้ากัน ผู้ที่ตกใจมากกว่าเพื่อนก็คือคุณครูของฉันเอง
"ออก ออก ไม่ไหวแล้ว กดออกเลย" คุณครู...ตะโกนบอกด้วยความตกใจจนลนลาน
น้องฝึกสอนรีบกดให้ลิฟท์เปิดออก ทันทีที่ลิฟท์เปิด ฉันซึ่งอยู่ใกล้ประตูที่สุด กลับหลบให้คนอื่นออกไปจนหมด เหลือฉันคนสุดท้ายซึ่งเกือบโดนลิฟท์หนีบเพราะไม่มีใครกดค้าง นี่กระมัง...ที่สำนวนจีนมักกล่าวว่า"ความตายหนักดั่งขุนเขา เบาดั่งปุยนุ่น" ขึ้นอยู่กับจิตของคนแต่ละคนนั่นเอง
ในวันที่ฉันลืมเรื่องลิฟท์กระตุกจนสนิทกลับเป็นวันที่ใครบางคนรู้สึกชื่นชม และประทับใจในตัวฉันไม่
รู้ลืม "คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง" คำ ๆ นี้ฉันไม่เคยคิดถึงมานาน หากในวันที่ลิฟท์กระตุกทำให้ใจสะดุดก็ดีเหมือนกันนะ....
ทำให้ฉันคิดถึงการฝึกจิตให้คิดถึงคนอื่น เมตตาและปรารถนาดีต่อทุกสรรพชีวิต ฉันไม่ได้ฝึกแค่วันเดียวหากมันยาวนานกว่าสามสิบปีแล้วกระมัง ? ที่มันค่อย ๆ ซึมซับเข้าถึงจิตวิญญาณโดยที่ฉันไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
ขอบคุณบทเรียนดี ๆ จากลิฟท์กระตุกทำให้หัวใจฉันสะดุดจนเขียนบันทึกแห่งจิตวิญญาณได้เพิ่มอีกหนึ่งบันทึก
ธรรมทิพย์
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖