สงสารคุณยาย...ขอดูแลมนุษย์แทนผู้ป่วย


หลังจากคุณยายของผมย้ายออกจากหอผู้ป่วย ICU มาได้ 1 สัปดาห์ ผมเพิ่งจะมีเวลามาเยี่ยมคุณยาย และคุณแม่ก็เอ่ยถึงพยาบาลบอกว่า "คุณยายน่าจะกลับบ้านได้แล้ว ที่ย้ายออกมาจาก ICU เพราะพ้นขีดอันตรายแล้ว" 

ผมก็สงสัยว่า "สภาวะของคุณยายตอนนี้ยังเต็มไปด้วยสายให้อาหารทางจมูก ท่อที่เจาะคอยังคาอยู่กับที่ครอบออกซิเจน แม้ว่าคุณยายจะหายใจช้าๆ แต่ก็ต้องคอยสอบถามถึงการส่งต่อฝึกกายภาพบำบัด ถึงจะรู้ว่าได้ส่งแล้ววันละครั้ง และพยาบาลเคยป้อนอาหารอ่อนเป็นบางเวลา ไม่ได้มีการส่งต่อฝึกกลืนกับนักกิจกรรมบำบัด ซึ่ง รพ.นี้มี 1 คน หรือนักกิจกรรมบำบัดอาจถนัดฝึกเด็กพิเศษอย่างเดียว จะกลับบ้านได้อย่างไรกัน ...คิดไปต่างๆนานา"

เช้าวันหยุดพืชมงคลนี้ แม่ชวนผมไปคุยกับหมอ ตอน 7.00-8.00 น. ณ หอผู้ป่วยศัลยกรรมสามัญหญิง รพ.รัฐแห่งหนึ่ง

สภาพของคุณยายนอนขวางแนวนอนบนเตียง สายต่างๆ พันไปมา ไม่มีใครจับคุณยายให้นอนแนวตั้งเป็นปกติบนเตียง พอผมพยายามจะจับคุณยายให้นอนดีๆ ก็มีเจ้าหน้าที่เสื้อเหลือง ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาลหรืออย่างไร ก็มาแตะๆไหล่คุณยาย แล้วปล่อยให้ผมออกแรงเอง ไม่เพียงเท่านั่นก็ส่งเสียงบอกว่า "ท่านอนขวางทำให้คุณยายไม่ดื้อ" 

คุณยายยังถูกมัดมือทั้งสองข้าง ด้วยเหตุคุณยายชอบดึงสายอาหารทางจมูก และคุณยายยังถูกโกนผมสวยๆออกไปหมด ด้วยเหตุความสะดวกในการไม่ต้องสระผมบ่อยๆจากพยาบาล แถมถ้าย้ายไปห้่องพิเศษ มีเงื่อนไขว่า ต้องมีคนเฝ้า 24 ชม. [คุณแม่ของผมต้องเช็ดอึและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณยายเอง เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า "เปลี่ยนให้แล้วตั้งแต่ตี 4" แล้วจะปล่อยให้คุณยายจมอยู่กับอึไปนานแค่ไหนเชียว เฮ้อ...ผมได้แต่มองหน้า คิดในใจ]


ผมในฐานะนักกิจกรรมบำบัด ได้มองกระบวนการดูแลคุณยายของผมแล้ว คิดว่า "เป็นระบบการดูแลผู้ป่วยมากกว่าระบบการดูแลแบบห่วงใยและเข้าใจความต้องการของมนุษย์" และถ้ามีระบบการฝึกกลืนอาหารที่ดี ต้องตั้งเวลาการฝึกป้อนอาหารทางปาก 50% กับการให้อาหารทางสายจมูก 50% ใน 1 สัปดาห์ ถ้าดีขึ้นก็นำสายจมูกออก แล้วปรับป้อนอาหารทางปาก 3-5 มื้อ รวม 100% และไม่ควรมัดมือทั้งสองข้างของคุณยาย ถ้าคุณยายเข้าใจและตกลงจะไม่ดึงสายออก เท่าที่ประเมินดู คิดว่า กล้ามเนื้อการกลืนของคุณยายปกติจนสามารถดึงสายจมูกออกมาข้างนอกได้ และการฝึกหายใจจากนักกายภาพบำบัดควรสัมพันธ์กับการฝึุกกลืนจากนักกิจกรรมบำบัดในเวลาเดียวกัน แต่นี่ปล่อยมานานถึง 2 เดือน จนคุณยายต้องนอนเป็นผู้ป่วยไร้สมรรถภาพอยู่บนเตียง ซึ่งๆจริงแล้วสามารถย้ายจากเตียงมานั่งในบรรยากาศที่ไม่ป่วยหรือมีสุขภาวะได้ ที่บ่นมานี้ ผมก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบำบัดฟื้นฟูคุณยายของตนเอง อยากขอโอกาสมีส่วนร่วมกับทีมแพทย์-พยาบาล แต่ระบบที่ดูแลเฉพาะผู้ป่วยไม่เคยเปิดโอกาสให้เกิดการดูแลมนุษย์อย่างแท้จริง

คุณหมอเดินทางมาสายกว่าที่นัดไว้ 30 นาที

ดร.ป๊อป: สวัสดีครับ คุณหมอ Plan จะ Discharge คุณยายอย่างไรครับ

คุณหมอ: ก็จะทำในเวลา 

ดร.ป๊อป: ตอนกลับบ้าน คุณยายจะถูกเอาสายจมูกและท่อที่เจาะคอออกเป็นปกติ ใช่หรือไม่ครับ

คุณหมอ: ก็จะตรวจดูก่อนพรุ่งนี้

ดร.ป๊อป: หมายความว่า คุณยายหายใจดีขึ้นแล้ว ก็จะเอาท่อที่เจาะคอออก

คุณหมอ: น่าจะใช่

ดร.ป๊อป: คุณยายกลืนได้ไหมครับ จะเอาสายจมูกออกอย่างไร

คุณหมอ: จะลองฝึกกลืน ถ้าดี ก็จะเอาออก 

[ผมคิดในใจว่า ก็พยาบาลเคยป้อนอาหารไปแล้ว ไม่ได้ฝึกกลืนหรือนี่ แล้วถ้าฝึกหายใจไปแล้ว ยังไม่ดีขึ้นหรือไม่มีการประเมินความก้าวหน้า ... ดร.ป๊อป ได้ทำใจยอมรับและเงียบพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอ...ช่างต่างจากระบบรพ.เอกชน ที่มีโภชนากรเตรียมอาหารพร้อมฝึกและมีนักกิจกรรมบำบัดที่กระตุ้นฝึกกลืนได้จนเป็นปกติและเอาสายจมูกออกได้ก็ยิ่งกินได้ดีมีสุขใน 1 อาทิตย์ นอกจากนี้ถ้ากินดีก็ไม่มีการเจาะคอแต่อย่างไร หรือถ้าเจาะคอก็รีบฝึกกลืนและเอาสายจมูกกับที่เจาะคอออกได้ไม่เกิน 3 อาทิตย์ อย่างว่ารพ.เอกชน ก็ค่าใช้จ่ายสูง ของคุณยายเป็นบัตรทองไม่ต้องเสียตัีงค์ใดๆ]



หมายเลขบันทึก: 535773เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2013 10:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2013 10:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

เป็นกำลังใจให้นะคะคุณหมอ

เป็นกำลังใจให้ครับ ขอให้คุณยายหายไวๆครับ

เลยได้โจทย์ไปคิดต่อใช่ไหมคะว่าจะทำอย่างไรดี..

เชื่อว่า ดร.ป็อบ จะต้องมีภาคสอง...จะรออ่านนะคะ

...ชื่นชมกับใสใจดูแลด้วยหัวใจเช่นนี้ค่ะ

ขอบคุณมากครับสำหรับความคิดเห็นที่ดีมากๆ จากคุณ tuknarak คุณ พ.แจ่มจำรัส คุณ Oraphan และพี่นงนาท

ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจจากดร.จันทวรรณ คุณหมอ ป. และคุณอักขณิช

ในฐานะที่เป็นพยาบาลและเคยเป็นญาติผู้ป่วย

คิดว่า เข้าใจ ในความรู้สึกของทั้งผู้ปฏิบัติและญาตินะคะ


ทุกอย่างคงมีเหตุและผล

การได้คุยกันทั้งสองฝ่ายคงทำให้ทุกสิ่งดูง่ายๆ

 ขอเอาใจช่วยให้แผนการฟื้นฟูสภาพคุณยาย ลุล่วงไปได้


เห็นด้วยกับการพูดคุยกันครับผม ขอบคุณมากครับคุณกระติก

สถานการณ์จริงในโรงพยาบาลของรัฐเลยค่ะ ทำให้เรารู้เลยว่าคนที่ทำงานด้วยใจจริงๆนั้นไม่ได้มีมากนักค่ะ เราต้องพยายามหาทางปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เหมาะสมเอาเอง หลายๆครั้งที่เราไม่แสดงตัวว่าเราเป็นใคร มาจากไหน เราก็จะไม่ได้รับการดูแล น่าสงสารคนที่ไม่มีอะไรจะมาเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามสมควร บ้านเรายังมีความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่มากแม้ในเรื่องพื้นฐานอย่างบริการสุขภาพนี่แหละค่ะ เราอยู่ตรงนี้เองยังคิดจะช่วยไม่ถูกเลยนะคะ ได้แต่ทำสิ่งที่เราต้องทำให้ดีที่สุด แล้วก็หวังว่าคนอื่นๆจะคิดและทำเหมือนกัน

ดิฉันสามารถใช้สิทธิในโรงพยาบาลเต็มที่ ด้วยมีพี่แท้ๆ เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข

เราก็ยังต้องพร้อมใจกันถอยเลยค่ะ  ทำอะไร เมคเซ้นไว้ก่อนนะคะ  ขอให้โชคดีค่ะ

เห็นด้วยและขอบคุณมากครับพี่โอ๋และคุณ on time

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท