โครงการเสริมพลังเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
วันที่ 2 พฤษภาคม 2556
วันที่2-5 พฤษาคม 2556
ได้รับหนังสือเชิญเข้าร่วมโครงเสริมพลังเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ตาม
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่โรงแรมบัดดี้
จังหวัดนนทบุรี พวกเราออกเดินทางประมาณหกโมงเช้า ไปรับ อ.ต๋อย และท่าน
ผอ.ที่มหาสารคาม
ออกเดินทางไปบรบือ ถึงโรงแรมบ่ายสี่โมง เพราะเรามีพลขับคือ
ครูสมานที่มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ดีมาก ขับไม่เกิน 80 ปลอดภัย (พอประมาณเพราะประหยัดน้ำมันมาก)
ในการเดินทางครั้งนี้เราได้ความรู้ที่นำไปสู่ภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
เราใช้เทคนิคหมวกหกใบในการวิเคราะห์การดำเนินงานที่เป็นปัญหาของโรงเรียน
ณ. ขณะนี้ (อ.ต๋อย เป็นกระบวนกรที่เยี่ยมจริงๆ)
ส่งผลให้ครูสมาน และท่านรองทั้งเข้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
ต้องขอบคุณ อ.ต๋อย ที่เป็นกัลยาณมิตรเรามาตลอดเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความเป็นผู้รอบรู้เส้นทางของครูสมาน
เราถึงโรงแรมบัดดี้โอเรียนทอล รีเวอร์ไซด์ ปากเกร็ด ทันเวลา พอดี
(เลยเป้าหมายนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกิโล
เรียกว่าพอประมาณและภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
เลยละ..ฮา ) ตั้งแต่เราได้หนังสือจากมูลนิธิฯ
ให้เข้าร่วมโครงการเสริมพลังเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก
ที่ทีมขับเคลื่อนร่วมประชุมเพื่อทบทวนงานที่เราทำมาบ้างแล้ว นิดหน่อย
(เรามี
ครูอนุชาติ ครูกุ้ง ครูสมาน พี่ต๋อย รองธีระพงษ์ และดร.ดาหวัน
เข้ามาเป็นทีมขับด้วยความเต็มใจ)
พวกเราทบทวนงาน เพื่อจะนำมาแลกเปลี่ยนกับครูในภาคอีสาน(วันที่30
เมษายน 1 พฤษภาคม ) ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจมาก
ในโครงการเสริมพลังเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงด้านการศึกษา
รู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ยิ่งเมื่อพบกัลยามิตรเพิ่มขึ้น น้องๆ
บางคนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เมื่อมาถึงโรงแรมบัดดี้โอเรียนทอล
รีเวอร์ไซด์ ปากเกร็ด
ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากมูลนิธิสยามกัมมาจล...
เราเริ่มเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้เวลา
16.00 น. (คุณธรรม ตรงต่อเวลา) โดย อ.ต๋อย ฮา..ได้ละลายพฤติกรรมของครูเบาๆ ด้วยการเดินทักทายเพื่อนๆ
ทั่ววง และการแขวนลอยอารมณ์ด้วยการโยนปากกา
และต่อมาอ.ชัยวัฒน์ ให้
จับคู่เล่าเรื่องตั้งแต่ตัวเองเป็นเด็ก (มิติสังคม) โดยที่ข้าพเจ้าได้เล่ากับน้องที่มาจากโรงเรียนเขลางลำปาง
จากกิจกรรมดังกล่าวทำให้ทุกคนที่ได้เล่าเรื่องได้รู้สึกอิ่มใจ
และประทับใจในตนเองและเพื่อนรอบข้าง ต่อจากนั้นเราได้ดูหนังสั้นเรื่อง
จิโระเทพเจ้าซูซิ ชั่วโมงครึ่ง ไม่หลับเลย
ข้าพเจ้าตื่นเต้นตั้งแต่เห็นสายตาของจิโระที่มองลูกค้า
ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและมีความสุข จิโระปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา(ประเมินตนเองตลอด)
ทำงานเป็นทีม เขาเรียนรู้จากการปฎิบัติ เรียนรู้ตลอดชีวิต จิโระ เรียนหนังสือแค่ ป.3 ทุก
สิ่งทุกอย่างพิถีพิถัน
(แสดงว่าเขาดูแลลูกค้าเป็นรายบุคคล) เลือกเฟ้นแต่สิ่งดีๆ เขาฝึกเด็ก10
ปีจึงให้ปั้นซูซิได้ ช่วงเวลา 10 ปี ทีมพวกเขาเรียนรู้จากการฝึก
และฝึกหนักมาก จนเกิดความเชี่ยวชาญ
หนังเรื่องนี้ให้พลังของข้าพเจ้าที่กำลังมอดไหม้
เพิ่มขึ้นมาออย่างมาก เราพึงทำมาไม่กี่ปี แต่จิโระ ทำตลอดชั่วชีวิตของเขา
ไม่มีความเห็น