การเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์
บทความเรื่อง Outside the Pipeline : Reimagining Science Education for Nonscientists ลงพิมพ์ในวารสาร Science ฉบับScience Education บอกเราว่า การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนที่จะไม่เรียนต่อไปสู่วิชาชีพสายวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะเป้าหมายของการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในการดำรงชีพ ในยุคปัจจุบัน สำหรับคนทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แตกต่างจากเป้าหมายในอดีต
บทความเสนอความท้าทายใหญ่ ด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กสายศิลป์ และสายอาชีวะ ที่ไม่ใช่วิชาชีพสายวิทยาศาสตร์ ๓ ข้อ
1. ช่วยให้นักเรียนค้นหาว่า วิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับชีวิตของตนเองเป็นอย่างไร ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนได้อย่างไร โดยให้นักเรียนได้เรียนจากของจริง สภาพจริง ที่อาจยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อย่างแจ่มชัด ได้ทั้งหมด
2. ให้นักเรียนได้เข้าใจความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วย ข่าวการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ หรือข่าวโฆษณาสินค้าที่อ้างอิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเชื่อถือได้บ้าง เชื่อถือไม่ได้บ้าง เพื่อไม่ให้ถูกหลอก คนทุกคนจึงต้องมีความสามารถในการตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือของข่าวนั้นๆ ได้
3. ให้นักเรียนพัฒนาความสนใจทางวิทยาศาสตร์ในระยะยาวของตนเอง โรงเรียนควรส่งเสริมความสนใจเฉพาะด้านของนักเรียน ส่งเสริมงานอดิเรก เพื่อสั่งสมพัฒนาทักษะของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความสนใจเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายข้อ ๓ นี้ เช่นการมีงานอดิเรกสะสม ฟอสซิล สะสมแมลง
การศึกษาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เน้นการสอนนักเรียนสายวิทย์มากเกินไป ไม่ค่อยเอาใจใส่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่จะเติบโตไปมีอาชีพที่ไม่ใช่สายวิทยาศาสตร์ โดยที่จริงๆ แล้วคนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม และต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิตที่ดีของตน ในแบบที่ใช้ความรู้ทางอ้อม ไม่ใช่ใช้โดยตรง เช่นใช้พัฒนาสุขภาพของตน ใช้กำหนดจุดยืนทางการเมือง เศรษฐกิจ การพักผ่อนหย่อนใจ และอาชีพ โดยมีคนเสนอคำว่า เป็น “คนนอกที่มีความรู้ความสามารถ” (competent outsider)
หลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ต้องผลิต “คนนอก” ที่มีความสามารถค้นหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นำมาตีความ ใช้ประโยชน์ต่อชีวิตของตนได้
ผมขอเพิ่มเติมว่า ในสังคมไทยเราเวลานี้มีการโฆษณาขายสินค้าเชิงวิทยาศาสตร์แบบเกินจริงมากมาย และมีคนจำนวนมากหลงเชื่อ ก็เพราะขาดพื้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับดำรงชีวิตในยุคนี้ ไม่ให้ถูกหลอกลวง
คนทั่วไปมีปฏิสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์อย่างไร
ผลการวิจัยบอกว่า คนทั่วไปมีปฏิสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์แตกต่างจากที่เราคิด อย่างมากมาย
· คนต่างกลุ่มตีความวิทยาศาสตร์แตกต่างกัน เช่นการตีความผลการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ของคน ๓ กลุ่ม ได้แก่ คนกลุ่มที่เป็นนักเรียกร้องการดูแลคนเป็นโรค Alzheimer, บริษัทลงทุนทางไบโอเทค, และ กลุ่มศาสนา น่าจะตีความแตกต่างกันมาก อาจถึงขนาดต่างขั้วกัน ผลการวิจัยบอกว่า ในสรอ. คน ๖ กลุ่มอายุ ตีความข่าวเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกแตกต่างกัน
มีหลาย “สาธารณชน” ในเรื่องวิทยาศาสตร์
· วิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว แต่มีหลาย “วิทยาศาสตร์” มีวิธีคิด วิธีพิสูจน์ความจริง และจารีตประเพณี แตกต่างกัน
· คนทั่วไป มีปฏิสัมพันธ์กับบางส่วน หรือบางปรากฏการณ์ของวิทยาศาสตร์ เพื่อเป้าหมายจำเพาะบางอย่างของตน เท่านั้น ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ทั้งหมด
การทำความเข้าใจเป้าหมายใหม่ของการศึกษาวิทยาศาสตร์
การศึกษา ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนในบ้านเมือง เป้าหมายของการเรียนวิทยาศาสตร์ จึงต้องคำนึงถึงความต้องการของคนทั่วไป ตามที่ระบุในหัวข้อก่อนหน้านี้ และต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เพื่อให้วิทยาศาสตร์สนองตอบชีวิตประจำวันที่ไม่เป็นไปตามตำรา และอยู่กับเรื่องแปลกๆ ดังต่อไปนี้
· มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ : เปลี่ยนจากรู้จักตำรา ไปเป็นรู้จักค้นหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ที่ตนต้องการ เมื่อนักเรียนเติบโตออกไปใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็งอกงามเพิ่มพูนขึ้น เมื่อเขาเผชิญปัญหาที่ต้องใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เขาจะต้องแปลตัวปัญหาในชีวิตประจำวัน เป็นประเด็นหรือคำถามทางวิทยาศาสตร์ แล้วค้นหาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นั้นทาง อินเทอร์เน็ต แล้วจะต้องประเมินว่า จะเชื่อหรือใช้ความรู้ชิ้นไหน และจะนำความรู้ที่เลือกไปดำเนินการอย่างไร
ในกรณีเช่นนี้ ความสามารถในการตั้งคำถามมีความสำคัญอย่างยิ่ง ยกตัวอย่าง เกษตรกรต้องการรู้ว่าการใช้ยาฆ่าแมลงอย่างที่ใช้กันอยู่ในชุมชนของตนจะมีอันตราย หรือปลอดภัยแค่ไหน จะต้องมีความสามารถตั้งคำถามที่เหมาะสม ได้แก่ ยาฆ่าแมลงชนิดไหน ใช้มากน้อยแค่ไหน ที่อันตรายมาก อันตรายอย่างไร มีวิธีวัดที่แม่นยำว่าลูกๆ ได้รับในอากาศหายใจ และในน้ำ ในปริมาณเท่าไร แล้วต้องตั้งคำถามสู่ชีวิตจริง ว่าใคร/หน่วยงานไหน จะช่วยวัดระดับยาฆ่าแมลงในน้ำ คำถามต่อไปคือ ฉันจะทำอย่างไรจึงจะลดความเสี่ยงจากยาฆ่าแมลงได้
จะเห็นว่า การเรียนแบบท่องจำเนื้อหาจะไม่ทำให้เด็กมีทักษะในการตั้งคำถามเหล่านั้น วิธีเรียนที่จะให้ทักษะในการตั้งคำถาม คือ PBL (Project-Based Learning)
· มีความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ : เปลี่ยนจากปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ไปเป็นมีความสามารถตัดสินว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์ คำว่า “ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” เป็นคำที่ต้องตีความ โดยตั้งคำถามเชื่อมโยงกับ “การตั้งคำถามทางวิทยาศาสตร์” (scientific inquiry) และการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแจกแจงออกได้เป็นขั้นตอนที่จำเพาะ ได้แก่ การสร้างโมเดล การขยายความจากข้อมูลหลักฐาน การสื่อสารผล
แต่นั่นเป็นปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ คนทั่วไปไม่ได้มีชีวิตเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แบบนั้น ที่อาจเรียกว่า แบบ “คนใน” คนส่วนใหญ่เป็น “คนนอก” วงการวิทยาศาสตร์ ที่บทบาทสำคัญที่สุดคือการพิจารณา และตัดสินด้วยตนเอง ว่าคำโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับข้อค้นพบ หรือหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ น่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นการตัดสินโดยที่ตนไม่มีความรู้ ในเรื่องนั้นๆ แต่ใช้หลักฐานอ้างอิง เช่น ชื่อเสียงของผู้ให้ข่าว หน่วยงานต้นสังกัด แหล่งตีพิมพ์ และการมีผลประโยชน์ทับซ้อน
ยิ่งนับวัน ข่าวเหล่านี้ก็เชื่อถือได้ยากขึ้น เพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวพันอย่างยุ่งเหยิง นักเรียน/นักศึกษา สายที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์จึงควรได้เรียนรู้ระบบการเผยแพร่ผลงาน ทางวิทยาศาสตร์หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งวิธีประเมิน หรือทำความเข้าใจ ความน่าเชื่อถือของการเผยแพร่แต่ละรูปแบบ และแต่ละพฤติกรรมของการเผยแพร่
วิธีการเรียนแบบ SSID (Socio-Scientific Issue Discussion) โดยครูออกแบบวงอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นในหมู่นักเรียน ในเรื่องปัญหาสังคม ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนทำความเข้าใจมายาด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และปัญหาเชิงจริยธรรมด้านวิทยาศาสตร์ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน
· เห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์ : เปลี่ยนจากมีแนวคิดเชิงบวกต่อวิทยาศาสตร์ เป็นเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำโดยจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมความสนใจเฉพาะตัวของนักเรียนแต่ละคน โดยใช้เครื่องมือ ๓ ตัว คือ (๑) จัดการเรียนรู้แบบ Project-Based และ Place-Based (๒) ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์, ชมรมกิจกรรมหลังเวลาเรียน จัดให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมตามความสนใจของตน (๓) จัดให้นักเรียนเล่นเกมวิทยาศาสตร์ เช่น FoldIt, GalaxyZoo
การจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อ “คนนอก” แบบใหม่
เพื่อฝึกนักเรียนให้เติบโตไปเป็น “คนนอกที่มีความรู้ความสามารถ” นักเรียนต้องได้เรียน/ฝึก (๑) ฝึก ค้นหาและตีความความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับนำมาใช้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน และเป็นชีวิตจริง (๒) ฝึกตัดสินว่าข่าวสารประชาสัมพันธ์ หรือข้อกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยพิจารณาตามเหตุผลหรือจารีตทางวิทยาศาสตร์ และพิจารณาตามความน่าเชื่อถือทางสังคม (๓) เพื่อให้เป็นคนรัก และเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ตลอดชีวิต ให้โอกาสออกไปเรียนรู้ตามความสนใจของตน ในกิจกรรมภายนอกโรงเรียน แม้กิจกรรมนั้นจะต้องขาดเรียนในชั้นเรียนตามปกติ
การจัดการเรียนการสอนต้อง เน้นการเรียนแบบ PBL, SSID (Socio-Scientific Issue Discussion), และ การค้นคว้าตามความสนใจของนักเรียน (interest-driven student exploration)
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน ต้องได้สมดุลระหว่างการเรียนรู้ ๒ แบบ คือ การเรียนสำหรับนักเรียนที่จะเรียนต่อสายวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (pre-professional science education) กับแบบ การเรียนสำหรับ “คนนอก” (science education for non-scientists)
วิธีการจัดการเรียนรู้ตามที่ระบุในบันทึกนี้ ยังต้องการการวิจัยอีกมาก โดยเฉพาะการวิจัยวิธีการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชีวิตจริง ในเรื่องราวของสังคมที่มีความไม่ชัดเจน ไม่มีถูก-ผิด
ในบริบทการศึกษาไทย มีการริเริ่มทดลองวิธีจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ใหม่ๆ มากพอสมควร แต่ยังไม่ได้ทำแบบโครงการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับ “คนนอก” ที่จะให้มีผลให้คุณระยะยาวในชีวิตอนาคต เพื่อให้วงการศึกษาไทย และสังคมไทย เอาชนะเป้าหมายระยะสั้นทางการศึกษา ให้หันไปให้คุณค่าต่อเป้าหมายระยะยาวในชีวิต ของลูกหลานของตนมากกว่า
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ Non-scientists.pdf
วิจารณ์ พานิช
๕ พ.ค. ๕๖
ไม่มีความเห็น